สวัสดีที่รัก
ผมเขียนจดหมายถึงคุณจากเมืองปิซา ประเทศอิตาลี ใช่แล้ว…เมืองที่มีหอคอยเอียงจวนเจียนจะล้มที่คุณฝันอยากจะมาอยู่เสมอ นี่ก็ผ่านมา 3 ปีแล้วสินะที่ผมจากคุณมาทำธุรกิจร้านอาหารไทยที่เมืองนี้ ผมมาเปิดร้านขายข้าวแกงจานละ 20 บาท ราดกับ 2 อย่าง 25 อยู่หน้าทางเข้าหอเอนเลยล่ะ ถามว่าธุรกิจไปได้สวยมั้ย? ก็ต้องบอกว่าขายได้เรื่อยๆ นะ นักท่องเที่ยวที่นี้เค้าชอบอาหารไทยมากเลยนะ เมนูยอดฮิตของร้านผมจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวกับหอมหัวใหญ่ อีกเมนูที่ขายได้ดีคือแกงเขียวหวานใส่มะละกอสับ
ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ส่งถึงคุณซ้ำๆ ก็ด้วยเรื่องเดิมที่แหละนะ เมื่อไหร่คุณจะมาอยู่กับผมเสียที นี่ก็ผ่านมา 3 ปีแล้วนะคุณก็ยังไม่มา คุณบอกว่าผมมันดีเกินไปหลังจากนั้นก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย พอโทรไปหาก็มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้รับสายตามด้วยเสียงเด็กเล็กร้องเจี๊ยวจ๊าวแทรกเข้ามา ผมไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คิดว่าคุณคงจะเปิดเนิร์สเซอรี่รับเลี้ยงเด็กใช่มั้ย? แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงซะจดหมายฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายที่ผมจะเขียนถึงคุณแล้วนะเพราะผมคงไม่รอแล้วหล่ะ แต่ที่เขียนฉบับนี้มาเพราะมันมีเรื่องสำคัญจริงๆ คุณพอจะมีเงินให้ผมยืมสักแสนนึงมั้ย? ก็อย่างที่รู้ล่ะว่าอิตาลีเป็นเมืองที่ทำธุรกิจยากมาก เจ้าถิ่นก็ชอบมากินฟรี แล้วนี่ผมยังต้องโดนทีมโปรดหักหลังอีกนะ คิดแล้วมันแค้น! ทำไม 4 นัดหลังไม่ชนะเลยฟระ?!
ปล. ส่งแบบ Paypal มาก็ได้นะ ผมยอมโดนหัก
รักเสมอ
ปอนด์ แห่ง ปิซา
…
ใครเค้าใส่ถั่วฝักยาวในผัดกะเพรากันเล่า?!! ขายไม่ได้แล้วยังไปติดพนันบอลอีก พอแพ้ก็มายืมเงินแฟนเก่านี่อ่ะนะ?! กลับไทยไปไถนาเถอะไป๊!!
ออกทะเลข้ามทวีปไปเยอะมาก คือเรื่องที่ผมจะเขียนในวันนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเขียนจดหมายครับ มันก็คือเรื่องบริการของไปรษณีย์ไทย… ไม่ใช่ครับผมสับขาหลอก -..- พูดถึงเรื่องเขียนจดหมายแล้วเชื่อแน่ว่าเด็กยุคนี้คงแทบไม่เคยได้เขียนจดหมายบนกระดาษแล้วหย่อนตู้ไปรษณีย์แน่ๆ ก็ในเมื่อยุคนึ้มันเป็นยุดดิจิทัลนี่ อะไรก็ล้วนแต่รวดเร็วไปหมด ส่งอีเมล ส่งไลน์หรือจะทวิตๆๆๆ ก็ล้วนแล้วแต่สะดวกและรวดเร็วทันใจกว่าทั้งนั้น แต่ก็นั่นแหละถึงมันจะรวดเร็วสักเพียงไหนก็ตามแต่ความเท่ความน่าหลงใหลมันย่อมเทียบกันไม่ได้เลยกับการส่งข้อความถึงกันในรูปแบบที่จับต้องได้ ผู้รับจะรู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ หรือกลับบ้านแต่ละวันก็คอยชะเง้อมองตู้จดหมายว่ามีอะไรส่งมาถึงเราบ้างนะ ค่อยๆ แกะซองอย่างบรรจงและหยิบจดหมายขึ้นมากางอ่านอย่างใคร่รู้ อ่านจบแล้วก็พับเก็บอย่างเรียบร้อยและวางประดับไว้ที่โต๊ะหัวนอน คิดถึงทีไรก็หยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ข้อความนี้ไม่ได้หายไปไหน มันสามารถจับต้องได้จริง และสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของผู้ที่เขียนถึงเรา เห็นมั้ยครับว่าประทับใจกว่าเป็นไหนๆ
Moleskine Postal Notebook คือชื่อของ Moleskine ที่จะรีวิวในวันนี้ครับ โดยปรกติเรามักจะรู้จัก Moleskine ในรูปแบบของสมุดในตำนานปกแข็งสีดำขนาดพอดีมือ แต่รู้หรือไม่ครับว่านอกจากสมุดแล้ว ก็ยังมีสมุดแบบอื่น…จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ? เอาเป็นว่ามันคือกระดาษเขียนจดหมายในรูปแบบของสมุดแล้วกันครับ โดย Moleskine Postal Notebook นี่เกิดขึ้นจากแนวความคิดของการส่ง “บันทึก” ในรูปของจดหมายครับ เปลี่ยนจากการเขียนจดหมายในแผ่นกระดาษมาเป็นรูปแบบสมุดแล้วส่งไปหาผู้รับ เมื่อได้รับแล้วก็ไม่ให้เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว แต่ให้ยังคงเป็นรูปแบบของสมุดบันทึก Moleskine ดังเดิม
ก่อนที่จะงงไปมากกว่านี่ว่ามันคืออะไรกันแน่ ผมขอพูดถึงที่มากันก่อนครับ Moleskine Postal Notebook เล่มนี้ผมสั่งซื้อมาจากเว็บเจ้าประจำ moleskineasia.com โดยเป็นขนาด Pocket ราคา 48HK$ แต่จริงๆ แล้วยังมีขนาดที่ใหญ่กว่านี้แต่ผมไม่ได้สั่งมาคือขนาด Large ราคา 65HK$ เท่านั้นยังไม่พอ! ยังมีสีให้เลือกกันจนตาแฉะถึง 12 สีเลยนะ ใครอยากได้สีอะไรก็เรียกได้ว่ามีครบตามอารมณ์และความรู้สึกเลย ส่วนตัวผมขอสีแดงเข้มละกันเข้ากับสีปากกาดี เรื่องส่งนั้นก็ไม่ต้องห่วงนะครับผมนับตั้งแต่วันสั่งจนถึงวันได้รับของก็เพียงแค่ 4 วันเท่านั้นครับ ส่งฟรีแถมเร็วเว่อร์! มี Tracking No. ด้วยนะเอ้อ แน็กชอบมาก! #ก้มกราบบ
เจ้า Moleskine Postal Notebook เล่มนี้ดูแล้วมันออกจะงงๆ ครับคือมันไม่ใช่สมุดเสียทีเดียวแต่มันคือ “สมุดทึ่เป็นซองจดหมายในตัว” ก็ลองดูที่ปกสิครับมันจะมีกระดาษส่วนที่ยื่นออกมาเป็นรูปสามเหลี่ยมทั้งสามด้านเพื่อให้เราสามารถพับสมุดเล่มนึ้กลายเป็นซองจดหมายติดสติกเกอร์พร้อมส่งได้เลย ติดแสตมป์ส่งถึงผู้รับ เมื่อได้รับแล้วก็สามารถ “ฉีก” ปกส่วนที่ยื่นออกมาตามรอยปรุออกเพื่อเปลี่ยนให้กลายเป็นสมุดธรรมดาได้ ตรงนี้แหละครับที่ผมเห็นว่ามันเป็นความคิดที่บรรเจิดมาก! เชื่อแน่ว่าผู้รับต้องอยากเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้แน่นอน ก็มันเป็นสมุดบันทึกที่มีค่ายิ่งนี่นา!
เปิดดูด้านในผมนับแล้วสามารถเขียนได้ทั้งหมด 8 หน้านะครับซึ่งก็พอเหลือแหล่สำหรับจดหมายหรือสเก็ตช์เล่าเรื่องราวต่างๆ เพื่อส่งถึงคนรักที่อยู่แดนไกล โดยกระดาษที่ใช้ก็แน่นอนว่าเป็นกระดาษ Moleskine แบบธรรมดาซึ่งถ้าอยากเขียนให้ได้ทุกหน้าก็แนะนำว่าเลือกหมึกที่มันไม่ซึมนะ เช่น Sailor Kiwa-Guro หรือจะใช้ปากกาลูกลื่นไปเลยก็ได้เดี๋ยวจะเขียนได้ไม่คุ้ม
เอกลักษณ์หนึ่งที่ผมคิดว่าคงต้องโดนตัดออกแน่แต่ดันมีมาด้วยก็คือ ช่องเก็บของปกในด้านหลังครับแต่เปลี่ยนมาเป็นซองแบบสอดเล็กๆ พอให้แนบกระดาษโน้ตได้ เก๋ไปอีกแบบแหะ! แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีสายคาดสมุดที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ของ Moleskine มาด้วย ก็แหงล่ะ จะให้ไปคาดอะไรกันตอนไหนเนี่ย
ชอบมั้ยครับกับ Moleskne Postal Notebook ที่เอามาให้ชมกันในวันนี้ ถึงแม้ว่าสมัยนี้เราจะไม่เขียนจดหมายกันแล้วแต่ผมอยากให้ลองกลับมาเขียนกันดูครับ ลองคิดดูว่าคุณกำลังเดินทางท่องเที่ยวในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แวะพักนั่งหลบร้อนที่ร้านกาแฟหรือสวนสาธารณะ จดบันทึกว่าวันนี้ไปเที่ยวหรือทำอะไรมาบ้าง สเก็ตช์วิวตึกรามบ้านช่องลงบนหน้ากระดาษสักหน้าสองหน้าพอให้เห็นนึกภาพตามได้ พับสมุดติดแสตมป์แล้วหย่อนตู้จดหมายในตัวเมืองเพื่อส่งให้คนที่เราคิดถึง นี่แหละครับคือการแบ่งปันความสุขที่ทำได้ง่ายๆ ดังนั้นหากคุณได้เดินทางท่องเที่ยวครั้งหน้า อย่าลืมที่จะพกเจ้าสมุดเล่มนี้ติดตัวไปด้วยนะครับ
…
สวัสดีที่รัก
จดหมายฉบับนี้คงเป็นเป็นฉบับสุดท้าย(จริงๆ)ที่จะเขียนถึงคุณล่ะนะ ในเมื่อคุณไม่ยอมโอนเงินหรือส่ง Paypal มาให้ ผมก็มีอันต้องหลบหนีออกนอกพื้นที่เมืองปิซานี้ คนทวงหนี้ที่นี่ไม่ธรรมดาเลยนะเค้าทวงกันโหดมากจนผมต้องหนี ยังไงนะเหรอ? ก็เล่นจะบังคับให้ผมกินผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวทั้งหม้อ ใครมันจะไปกินลง!
อุย เจ้าหนี้มาล่ะ ขอตัวก่อนนะ
รักเสมอ
ปอนด์ แห่ง… ส่วนใดส่วนหนึ่งของอิตาลี
แถมท้ายด้วยวิดีโอฮาๆ ของ Moleskine Postal Notebook ครับ