ผมชั่งใจอยู่นานเชียวครับว่าสัปดาห์นี้เราจะหาเหตุผลอะไรมาขอคุณผู้อ่านอู้ไม่อัพบล็อกดี จะอ้างว่า instagrame @hackhq โดนแฮคก็ดูจะไม่ค่อยเกี่ยวกันสักเท่าไหร่ ครั้งจะบอกว่า iPhone 4 คู่บุญเปิดยังไงก็ค้างหน้าแอปเปิลเดี๋ยวเค้าก็จะถามได้ว่า “แกใช้ไอโฟนอัพบล็อกเหรอ?” พอผมหมดปัญญาที่จะหาข้อแก้ตัวที่ดูเข้าท่า ผมก็เลยต้องมาคิดหนักว่าเรื่องของสัปดาห์นี้จะเขียนอะไรเอาตัวรอดไปพลางๆ ดีวะ? เงื้อมือไปเปิดหีบสมบัติเพื่อดูบรรดาเหล่าสมุด ปากกา และขวดหมึกที่วางเรียงรายไม่เคยได้แกะใช้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจว่า “เราหมดเงินไปเยอะขนาดนี้ แถมยังไม่เคยได้แกะห่อเลยนี่อ่ะนะ” ผมหลับตา…แล้วผมปิดหีบ(อ้าว) ลุกขึ้นยืนและก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปที่โซฟาอันแสนสบาย ไขว่ห้างด้วยความเบื่อหน่ายเพราะมือถือเจ๊งบ๊งก็พลันนึกขึ้นได้ “อ้าวเห้ย! มีสมุดเล่มนึงที่ช่วงนี้เราเสพติดเป็นพิเศษนี่หว่า! ทำไมเราไม่เอามารีวิวให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเนี่ยะ!”

ผมรุดตัวไปหยิบกระเป๋า Timbuk 2 สีแดงใบโปรดเพื่อเปิดเอาสมุดเล่มนี้ออกมาแล้วก็ต้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “สมุดมันหายไปไหนวะ?” ผมเริ่มนึกกลัวขึ้นมาจับใจครับว่าสมุดเล่มนี้อาจจะซ้ำรอยกับ หมึกเรืองแสงคราวก่อน ที่มีผีโผล่ออกมาหลอกหลอนเยอะแยะมากมายหลายตน (หราาาาาา?) แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนจัดกระเป๋าใหม่เลยหยิบมาวางไว้ที่หัวนอนไม่ใช่ผีอะไรที่ไหนลักซ่อนไปหรอก

Canson Artbook 180˚ คือสมุดที่ผมบอกว่าไฮโซอย่างมีนัยยะเล่มนี้ครับ อะไรของมัยวะมีนัยยะ? ที่ผมบอกว่าไฮโซนั่นก็เพราะว่าเป็นสมุดสำหรับสเก็ตช์มาจากบริษัทผู้ผลิตกระดาษที่โด่งดังและเก่าแก่จ้าวหนึ่งของโลกนั่นก็คือบริษัท Canson แห่งประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของผมฝรั่งเศสนั่นเอง (ไหนคราวก่อนบอกอิตาลี?) แน่นอนว่าเมื่อบริษัทผู้ผลิดกระดาษคุณภาพสูงสำหรับงานศิลป์ทำสมุดสเก็ตช์ทั้งที มันก็ต้องไม่ธรรมดาจริงมั้ยครับ? ผมเลยอยากที่จะชำแหละให้รู้ถึงแก่นของสมุดเล่มนี้ไปเลยครับ

แน่นอนว่าสมุดเล่มนี้ไม่ใช่สมุดสเก็ตช์เล่มแรกที่เพิ่งผลิตออกมาจากบริษัท Canson นะครับ เพราะว่าก่อนหน้านี้เราก็มักจะคุ้นเคยกับสมุดรุ่นอื่นหน้าตาแตกต่างกันของบริษัทนี้มาอยู่มากมาย แต่ที่ผมสนใจสมุดเล่มนี้เพราะว่าด้วยเรื่อง “ราคา” ครับ แน่นอนว่าผมมักจะเดินท่องตามร้านเครื่องเขียนในห้างสรรพสินค้าอยู่เป็นนิจและจะเดินเข้าไปที่ชั้นวางขายกระดาษและสมุดสำหรับงานศิลป์ ก็จะเจอเจ้าสมุดเล่มนี้ตั้งเด่นอยู่บนชั้นเก๋ๆ แต่ดูแล้วเหมือนขายไม่ค่อยออก…มันคือความจริงครับและผมไม่แปลกใจด้วย! เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่าสมุดเล่มนี้ด้วยขนาดที่เล็กเท่า Moleskine Pocket แต่มีร้านใน B2S หรือ Asiabook มีราคาขายจะอยู่ที่ 658 บาทครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ 658 บาท!! (ทำเหมือนตะโกนซ้ำๆ ไง) แน่นอนว่าที่ราคานี้ผมไม่กล้าซื้อจริงๆ ครับ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ลุ่มหลงเครื่องเขียนอย่างบ้าคลั่งก็ตาม เห็นอะไรเป็นซื้อไปหมด สาวน่ารักๆ ตึงๆ มาขายประกันผมยังซื้อซ้ำเลยแต่เล่มนี้ผมไม่ซื้อครับ แต่ก็เหมือนกับโชคชะตาแห่งการเสียทรัพย์ได้เล่นตลกกับผม ก็เนื่องมาจากคราวก่อนนู้นกับงาน Art & Paper by HHK Intertrade ที่จัดโปรลดราคาเครื่องเขียนและอุปกรณ์งานศิลป์แบบถล่มทลาย เค้าก็มีโปรโมชั่นสำหรับสมุดเล่มนี้คือโปรลดราคาจากป้าย 20% จนราคาเหลือเพียง 526.4 บาท…ซึ่งก็ยังแพงอยู่ดี -*- ผมจึงมีโอกาสได้ถือครองเป็นเจ้าของสมใจหมายครับ

กลับมาถึงบ้านก็พะเน้าพะนอค่อยๆ บรรจงแกะห่อพลาสติดเพราะกลัวปลายเล็บจะไปโดนปกสมุดเข้า ดูกระดาษคาดสมุดก็ทำให้ทราบถึงคุณสมบัติของสมุดเล่มนี้มากยิ่งขึ้นครับ สมุดเล่มนี้ใช้กระดาษแบบสเก็ตช์ 96 gsm จำนวน 80 แผ่น 160 หน้า และจากชื่อที่ใช้คงจะเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่าเค้าใช้คำว่า 180 องศา แถมยังมีไอคอนทำท่าเปิดสมุดให้เราดูด้วย เพราะว่าเล่มนี้เค้าออกแบบมาให้สามารถกางสมุดได้ 180 องศานั่นเองครับแต่ผมเห็นเล่มไหนๆ ก็โม้แบบนี้กันทั้งนั้นแหละพอเอาเข้าจริงๆ ก็เด้งนูนๆ ตลอด เดี๋ยวถึงขั้นทดสอบผมจะจัดหนักให้ดู

มาดูหน้าตากันบ้าง ผมนั่งเล็งไปดูไปแล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าหน้าตามันช่างเหมือนกับสมุด Moleskine เลยจริงๆ ปกสมุดแข็งสีดำที่มีลวดลายเหมือนกับหนัง มุมสมุดตัดมนลบเหลี่ยม แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเด่นชัดนั่นก็คือแถบปิดสมุดและสันสมุดครับ

มาเริ่มที่แถบนี่กันก่อนเลยครับ แถบติดสมุดนี้อย่าคิดว่ามันเป็นแผ่นๆ ยื่นๆ ออกมาจากสมุดธรรมดาๆ นะเพราะมันมีแม่เหล็กติดอยู่ข้างในครับซึ่งไอตรงส่วนของปกสมุดนั้นก็มีแผ่นเหล็กเล็กๆ ฝังติดไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อใช้เอาไว้รัดปิดปกสมุดไม่ให้เปิดอ้าเหมือนกับไอสายรัดสมุดของ Moleskine นั่นแหละ แต่ทีนี้คุณอาจจะคิดว่ามันก็แค่กระดุมแม่เหล็กธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ? เออจริงด้วยครับธรรมดามาก กร๊าากกก แต่ทีนี้ผมก็ลองเปิดปิดดูหลายรอบก็หนาเน่นดีปกไม่เปิดอ้า สักพักก็รู้สึกขัดตาว่าทำไมมันถึงได้ยื่นป่องปูดออกมาด้านข้างน่าเกลียดแบบนี้ ทีแรกผมนึกว่าเล่มที่ผมได้มานั้นมันพังมาจากโรงงาน แต่ก็เหมือนมีเทพแห่งสมุดหรือไม่ก็ผีทำกระดาษมากระซิบที่ข้างหู “แก…ลอออองเอาปาาาาก—กาไปเสียบสิ—-” (เขียนบล็อกไปขนลุกไป >_<) ผมก็เลยไปหยิบลามี่มาเสียเข้าไปครับ ผลคือไม่ได้!! ปากกาลามี่ซาฟารีมันอวบอ้วนเกินไป! พยายามรัดปิดยังไงแถบรัดก็เด้งออกเสมอ ผมเลยเปลี่ยนมาใช้ปากกาหัวสักหลาดพวก ArtLine มาเสียบแทนครับซึ่งก็เป๊ะ! ปากกาเสียบติดอยู่กับสมุดได้แน่นหนาพอสมควรครับแถมสะบัดๆ ก็ไม่หลุดด้วยนะ เอออันนี้เก๋ดีแหะ 1 ดาวทอง

แต่!! ไอแถบนี้พอถึงเวลาใช้งานจริงแล้วมันเกะกะมือเป็นบ้าเลยครับ มันเหมือนกับติ่งไร้ประโยชน์จะวางมือเขียนมันก็พับเข้ามาที่หน้ากระดาษ จะพับเก็บซ่อนไว้ใต้กระดาษก็ทำให้สมุดโป่ง ยังพับไปด้านหลังปกสมุดเลยก็ยิ่งแล้วใหญ่ สมุดกระดก! ไอแถบนี่ถึงจะเท่แต่ระดับความน่ารำคาญ MAX เลยครับ -*- ชั้นผ่าไส้ติ่งอย่างแกออกเสียดีมั้ย?

ต่อมาเป็นเรื่องของสันดานครับ เห้ย! สันสมุด! (มุกโหดหว่ะ) ก็อย่างที่บอกว่า Canson เค้าคุยนักคุยหนาว่าสามารถกางสมุดได้เรียบแบบ 180 องศา ผมก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใด หันสันสมุดเข้าแสกหน้าก็ถึงบางอ้อ สมุดสเก็ตช์เล่มนี้ใช้วิธีเย็บสมุดแบบแบบคอปติก Coptic binding ซึ่งหากใครที่เคยเย็บสมุดทำมือจะคุ้นเคยกันดีแต่ผมยังเย็บคาไว้ไง ยังไม่เสร็จไง เลยจะขออธิบายย่อๆ กากๆ ได้ว่า มันเป็นวิธีการเย็บสมุดแบบผูกกันไปเรื่อยๆ ครับซึ่งยังมีแยกย่อยหลายแบบด้วยนะ ในวงการเย็บสมุดเค้ามักจะโชว์ไอส่วนสันที่ได้จากการเย็บนี่แหละเพราะว่ามันสวยงาม รอบเส้นสายของเชือกที่ถักทอกันทำให้สันสมุดดูสวยงามและเก๋ไก๋มากยิ่งขึ้นครับ ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ของการเย็บสมุดทำมือเลยก็ว่าได้ ซึ่งการเย็บแบบนี้ข้อดีก็คือนอกจากสวยแล้วยังทำให้สามารถกางสมุดได้แบนราบครับ ประกอบกับที่สมุดเล่มนี้มีการใช้ผ้าสีดำบางๆ มาแปะเข้าที่สันสมุดบังเชือกไว้(อ้าว ไหนว่าเชือกสวย) ซึ่งไอผ้าบางๆ นี่แหละทำให้เวลาเรากางสมุดมันจึงไม่โก่งโป่งออกมา กางได้แบนราบเขียนต่อกันได้สองด้านอย่างต่อเนื่อง

*รอผู้รู้ตัวจริงด้านการเย็บสมุดมาเสริมอีกทีนะจ๊ะ

เปิดปกสมุดแล้วก็จะพบกับปกในและรองปกที่ใช้กระดาษสีเทาซึ่งสวยเท่แลดูสุขุมดีครับ เปิดผ่านแต่ละหน้ากระดาษก็ทำให้รู้ว่าสมุดเล่มนี้ไม่มีเชือกคั่นหน้ามาให้ และเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้ายก็ไม่มีช่องเก็บของตามสมัยนิยมติดมาด้วยครับ (ย่อหน้านี้สั้นจัง)

เอาละครับ! ในที่สุดก็มาถึงเรื่องที่ผมรอคอย อยากรู้เหลือเกินว่าสมุดสเก็ตช์ที่มีราคาค่าตัวสูงขนาดนี้จะคุณภาพดีสมราคาหรือไม่ ผมสัมผัสเนื้อกระดาษและส่องดูผิวหน้ากระดาษดู กระดาษสเก็ตช์สีขาวสว่างนี้มีพื้นผิวละเอียดแต่ไม่ถึงกับลื่นเรียบครับ เหมาะสำหรับการใช้ดินสอขีดเขียนรวมถึงปากกาหมึกซึมเพราะมีผิวสัมผัสที่ทำให้คาร์บอนเกาะได้ดี และแน่นอนว่ากระดาษนี้เป็นกระดาษ 96 แกรม ผมจึงไม่ลังเลที่จะลองสเก็ตช์ภาพด้วยหมึกที่ซึมทะลุทะลวงอย่าง Platinum Carbon Black ดูซึ่งพอพลิกกลับไปดูหน้าหลังก็ไม่มีอาการหมึกซึมทะลุแต่อย่างใด ถือว่ากระดาษสเก็ตช์ของสมุดเล่มนี้สามารถใช้ปากกาหมึกซึมเขียนได้สองหน้าเลยครับ และด้วยความสงสัยอยากรู้ว่าบริษัทผลิตกระดาษชื่อดังของโลกนั้นใช้กระดาษอะไรมาเป็นกระดาษสเก็ตช์ จึงทำให้รู้ว่ากระดาษที่ใช้นี้มีชื่อว่า Crob ’Art เป็นกระดาษที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับงานการสเก็ตช์ด้วยดินสอ ชาโคล รวมไปถึงยังสามารถลงสีน้ำบางๆ ได้อีกด้วย เจ๋ง!!

ใครมันจะไปหูตูบเชื่อไปหมดทุกอย่างฟระ?! กระดาษบางแบบนี้เดี๋ยวลงสีน้ำไปก็ซึมทะลุหรือไม่ก็สีจืดลงแน่นอน ผมจึงต้องลองลงสีน้ำให้หายสงสัยซึ่งภาพที่เห็นเหล่านี้ผมพยายามลงสีแบบ “กลั่นแกล้ง” ที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ ก็แหม่! ถึงเค้าจะบอกว่าลงแบบบางๆ ได้แต่ผมก็ลองเอาพู่กันละเลงน้ำให้ชุ่มกระดาษแล้วก็จุ่มสีน้ำเปียกๆ ระบายซ้ำลงไปเลย(wet on wet) ซึ่งปรากฏว่ามันรอด!! กระดาษตัวนี้สามารถรองรับการใช้สีน้ำแบบผสมน้ำเยอะได้ไม่มีปัญหาครับ ถึงแม้การซึมซับจะต่ำทำให้คาดเดาผลได้ยากเมื่อสีแห้ง แต่พอลองระบายไปสักพักก็จะเริ่มจับทางได้และรู้สัดส่วนของสีที่จะใช้ครับ นอกจากนั้นเมื่อทิ้งไว้ให้สีแห้ง สีที่ได้ก็ยังคงสดสวยไม่มีจืดจางลงเลยแม้แต่น้อย และเมื่อลองพลิกไปดูด้านหลังซึ่งถึงแม้กระดาษ 96 แกรมจะงอไม่เป็นท่าแต่เมื่อลงสีน้ำก็ไม่ซึมทะลุจะเห็นก็แต่รอยภาพจางๆ เท่านั้นครับ

ข้อสังเกต

หากถามว่าสมุดที่มีราคาเต็ม 658 บาท หรือจะเป็นราคาที่ลดแล้วเหลือ 526.4 บาทนั้นเป็นราคาที่ควรซื้อมั้ย จากที่ได้รีวิวไปผมต้องขอเรียนตามตรงครับว่า “ไม่” เห้ย! “สมุดสเก็ตช์” สำหรับดินสอและปากกาไม่ควรจะมีราคาที่แพงมากมายขนาดนี้ครับสำหรับขนาด Pocket เล่มเล็กๆ (ไม่ได้หมายถึงสมุดกระดาษสีน้ำนะ) ผมลองหาข้อมูลในเว็บเพิ่มเติมว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าสมุด 180˚ มีราคาค่างวดเท่าไรกันแน่ โดยที่เว็บเครื่องเขียนชื่อดัง dickblick.com ขนาด pocket 3.5“ × 5.5” มีราคาขายอยู่ที่ $6.99 หรือก็ประมาณ 226.55 บาทเท่านั้นเองครับ!! เห้ยมันถูกเว่อร์อ่ะ! แน่นอนว่าราคานี้ยังไม่รวมค่าส่งพัสดุนะซึ่งค่าส่งสมุดเล่มเดียวจากอเมริกาส่วนใหญ่จะประมาณ $10 อาจจะมากหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งก็คือประมาณ 300 กว่าบาท ดังนั้นเมื่อลองคำนวณคร่าวๆ ถึงราคารวมค่าส่งจากอีกซีกโลกก็จะได้ประมาณ 520 บาทครับ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับราคาหลังได้ลดจากโปรโมชั่นแล้ว

แล้วผมจะสื่ออะไรล่ะ? คืองี้ครับ ผมว่าโดยรวมแล้วสมุดเล่มนี้ถือเป็นสมุด “สำหรับการสเก็ตช์” ที่ยอดเยี่ยมเล่มนึงทีเดียวเลยนะ ทั้งเนื้อกระดาษที่ดี ลงสีน้ำก็ได้แถมสีสวยสด จำนวนหน้าก็เยอะเขียนทิ้งเขียนขว้างได้ แถมยังกางได้ 180˚ วาดต่อกันได้สะดวกสุดๆ รูปเล่มสวยงามแต่อาจจะขัดใจนิดหน่อยตรงแถบปิดสมุดนั่น ซึ่งโดยรวมแล้วถือว่ายอดครับ แต่เสียดายที่สมุดดีๆ แบบนี้ทำราคาได้ไม่ค่อยดีทำให้เวลาจะซื้อต้องคิดแล้วคิดอีก ขนาดผมว่าผมรวยระดับท่านชายในสายหมอก(แต่นอนเสื่อ)แล้วยังคิดนานมากถ้าไม่ได้โปรผมไม่ซื้อจริงๆ นะ ดังนั้นถ้าหากสามารถทำราคาขายในไทยให้ถูกกว่านี้ได้ก็น่าจะได้รับความนิยมในระดับนึงทีเดียวเลยครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบมากกว่า พี่เบิ้ม Monologue Soft Sketch Book ที่มีราคาเพียง 220 บาทด้วยนะเอ้อ ดังนั้นถ้าตั้งราคาให้อยู่ในช่วงระหว่าง 350 – 450 บาทก็จะน่าสนใจมากๆ ทีเดียวครับ

นี่แหละครับคือสมุดไฮโซสำหรับคนโลว์มันนี่แบบผม คุณภาพกระดาษอยู่ในระดับที่ดีเหมาะสำหรับการสเก็ตช์ด้วยดินสอหรือปากกาหมึกซึม สามารถลงสีน้ำแบบบางๆ ได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใช้น้ำเยอะๆ ก็พอไหวแต่ก็ต้องระวังๆ กันหน่อยนะเพราะควบคุมและคาดเดาไม่ค่อยจะได้ หากคุณผู้อ่านสนใจก็หามาลองสักเล่มนึงก็เข้าทีครับหรือว่าอาจจะรอโปรโมชั่นจากงานที่ HHK จัดบ่อยๆ ก็ได้ ผมเชื่อแน่ว่าจะต้องมีสักงานนี่แหละที่จัดโปรลดราคาเจ้า Canson Artbook 180˚ เล่มนี้ครับ

…และนั่นก็จะถึงทีของเรา!!

 

ปล. รูปสเก็ตช์ที่เห็นนั่นมาจากเว็บ Sketchland Yard ตอนนี้นะะะะ