เมื่อชาติปางก่อนแฟนพันธุ์แท้ของบีบีบล็อกคงจะเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับสมุดในตำนานปกสีดำปกสวยงามเชือกรัดสีเขียนอ่อนที่มีโลโก้หัวช้างประทับอยู่อย่าง Moleskine Evernote Smart Notebook ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด สมุดเล่มนี้เป็นสมุดที่มีการรีวิวเล่มแรกๆ ของบีบีบล๊อกเลยทีเดียว ในครั้งนั้นสมุดเล่มนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากความสามารถในการแปลงบันทึกที่อยู่ในรูปแบบอนาล็อกกลายไปเป็นรูปแบบดิจิตอลได้อย่างเพลิดเพลินและน่าอัศจรรย์ใจ
และเมื่อเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี สมุดอัจฉริยะเล่มนี้มีการออกลูกออกหลานแตกสายพันธุ์ออกมาหลายรุ่น คุณผู้อ่านหลายท่านก็มีการสอบถามกันมาบ้างว่าทำไมถึงไม่เอาเล่มอื่นๆมารีวิวบ้างอยากรู้ว่าข้อแตกต่างของมันคืออะไร ผมรู้ครับว่าสมุดเล่มนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากและคุณผู้อ่านต้องการรู้จักมันให้มากขึ้นกว่านี้ แต่เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญที่ผมไม่นำมารีวิวนั่นก็คือเรื่อง ทุนทรัพย์ …แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนฟ้าจะบันดาลให้แฟนพันธุ์แท้ Moleskine อย่างผมได้หวนคืนกลับมาพบรักสมุดเล่มนี้อีกสักครั้ง นั่นจึงเป็นที่มาของรีวิวบ้าพลังในตอนนี้ครับ
Moleskine Evernote Cahier Journal ช่างเป็นชื่อที่คุ้นหูคุ้นตาเสียจริง แน่นอนว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากกับคำว่า Moleskine แต่คำที่ฟังแล้วสะดุดหูมากที่สุดก็คือคำว่า Evernote ใช่ครับ สมุดในตำนานเล่มนี้เป็นหนึ่งในซีรีส์ของสมุดอัจฉริยะแสนฉลาดชาติเจริญ ที่เราสามารถทำการแปลงบันทึกที่อยู่ในรูปแบบอะนาล็อคไปเป็นรูปแบบดิจิตัลได้โดยง่าย สมุดเล่มนี้มันเป็นยังไง แตกต่างกับแบบเดิมตรงไหน แล้วทำไมผมถึงต้องเอามาเล่าให้ฟัง นั่งลงเลยครับคุณผู้ชม!
ก่อนอื่นนั้นผมอยากจะเล่าเท้าความเกี่ยวกับการได้มาของสมุตเล่มนี้กันสักหน่อย จำได้ไหมครับว่าผมเคยโพสบนเพจเฟสบุ๊คของบีบีว่ามันมีงานวินเทอร์เฟสฯ อะไรสักงานนี่แหละซึ่งผมก็จำชื่อไม่ได้แล้ว งานนี้เป็นงานขายของ-ขายอาหารอินดี้ๆ ของเหล่าบรรดาวัยรุ่นสาวสวยหนุ่มหล่อจูงมือพากันมาออกร้าน …แต่ก็มีที่ไม่หนุ่มไม่สาวอยู่เยอะพอสมควรนะ
คิดดูละกันครับว่าอินดี้หรือไม่ ก็ดูได้จากน้ำมะตูมของผมครับ คือแบบวันนั้นคอแห้งไง หิวน้ำแต่ไม่มีน้ำดื่มเนสเล่ขวดสิบบาทขายเลย ผมจึงเดินเข้าไปที่บูธขายน้ำสมุนไพรเท่ๆ ร้านนึง เจ้าของร้านเป็นหนุ่มหน้าตาดีหล่อสะอาดผิดแผกกับผมเหมือนมือข้างซ้ายกับอุ้งเท้าหมา และผมก็เห็นน้ำอะไรไม่รู้มีสีสันเหลืองทองสวยงามเชียวแช่เย็นเจี๊ยบอยู่ในเหยือกใสหน้าตาไฮโซ ด้านหน้าหน้ามีป้ายตั้งไว้เป็นภาษาอังกฤษเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ดูมีองค์ความรู้ ผมก็ชี้นิ้วบอกน้องคนขายว่า
“เอาน้ำนี่แก้วนึงครับ”
“ได้ครับพี่ รอสักครู่นะครับ” น้องหน้าหล่อตอบเสียงนุ่ม
จากนั้นจึงโน้มตัวมาตักน้ำสีเหลืองทองผ่องอัมไพใส่แก้วให้ผมพร้อมพูดว่า “แก้วนี้ 60 บาทครับ” ผมยื่นเงินให้ด้วยลุคที่ดูฉลาดที่สุดเหมือนกับว่าได้นำเงินทั้งหมดไปลงทุนในหุ้นอนาคตดี 15 เด้งยังน้อยไป ผมคว้ามาดูดอย่างหิวกระหาย…เอิ่ม…ผมหมายถึงผมคว้าแก้วมาดูดนะไม่ใช้คว้าไอน้องหน้าหล่อนั่นมาดูด!
ผมดูดซู้ดดดดดดดรับความอร่อยชื่นฉ่ำเข้าไปเต็มกระพุ้งแก้ม กลืนน้ำลงคอเบาๆ แล้วจึงหันไปคุยกับไอน้องนั่นว่า
“นี่มันน้ำมะตูมใช่มั้ยครับ?”
น้องก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่ เป็นน้ำมะตูมที่ผสมกับสมุนไพร zbcc@di4vm[% และผสมกับ ’vpOwkcbei–@29*” …ผมฟังไม่ออกเลยเหอะแต่สรุปได้ว่า
…กูซื้อน้ำมะตูมแก้วละ 60 มาดูด 3 ทีหมดเกลี้ยง แม่งโคตรอินดี้!
…ต่อนะ โดยในงานนี้เอง ผมได้รับการเชื้อเชิญอย่างลับๆ ว่าให้ลองเข้ามาที่บูธของสมุด Moleskine Thailand ดูสิ เพราะที่บูธนั้นมีสินค้าของ Moleskine ใหม่ๆ นำมาขายมากมาย พอผมได้ฟังเพียงเท่านี้ก็หูผึ่งอยากจะรีบแจ้นไปงานตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว แต่ผมก็ไปงานเอาวันสุดท้ายก่อนเค้าจะเลิกงานเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ที่บูธของ Moleskine Thailand นอกจากจะมีสมุดและผลิตภัณฑ์ต่างๆ วางจำหน่ายยั่วน้ำลายจนปกเสื้อเปียกแล้ว อีกสิ่งนึงที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ในบูธมีมุมให้สามารถใช้ตราปั้มตกแต่งสมุด Moleskine ของเราให้สวยงามแตกต่างกับคนอื่นได้อีกด้วย
…แต่ผมก็ไม่ได้ปั้มหว่ะ! กร๊าากก (นี่แกไปงานเค้าจริงหรือเปล่าวะเนี่ย?!)
และที่นี่เอง ที่ผมได้พบกับผู้ที่ติดต่อให้เข้ามาที่บูธนั่นก็คือคุณเบิร์ด สาวสวยคนเก่งแห่ง Moleskine Thailand (เอาแล้วไงได้ดอกนึงล่ะ) และก็ได้พบกับคนของทางบริษัทอีกท่านนึงซึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาดี…แต่ผมจะไม่ขอพูดถึงเขาอีกเลยนับตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป! (ลำเอียงคืออะไรมาดูได้ที่นี่)
หลังจากที่พูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในอนาคตของ Moleskine แล้ว และได้รับรู้ข้อมูลลับพิเศษเรียกได้ว่าหากคุณผู้อ่านได้รับรู้ละก็ กระเป๋าสตางค์จะต้องฉีกแล้วฉีกอีกซ้ำซากทุกภพชาติอย่างแน่นอน(เตรียมเก็บเงินไว้รอเลยนะ) และก่อนที่ผมจะออกมาจากบูธนั้น ทางคุณเบิร์ดสาวงามแห่งแดนสยาม(ดอกสอง) ก็ได้มอบซองของขวัญพิเศษติดไม้ติดมือให้ผมกลับมาด้วย ผมพูดเลยครับว่าตอนที่ได้รับนั้นผมหัวใจเต้นโครมครามคิดว่ามันจะต้องใช่จดหมายรักเป็นแน่แท้ ผมกอดซองจดหมายไว้แน่น ขยิบตาส่งให้ทีนึง และก็รีบวิ่งออกจากบูธเพื่อที่จะไปหาที่นั่งที่ปลอดผู้ปลอดคนแอบอ่านจดหมายรักฉบับนี้อย่างชื่นใจอยู่เพียงคนเดียว
…แต่ในซองมันมีแค่สมุดครับ อาห์ใช่แล้ว สมุดเพียวๆ ไม่มีจดหมายติดสติ้กเกอร์รูปหัวใจอะไรเลยสักดวง!
*ผมคิดว่าตอนนี้เราน่าจะกลับเข้ารีวิวกันได้แล้วนะครับ หากมากไปกว่านี้เกรงว่าแฟนคุณเบิร์ดจะส่งไลน์มาด่าพ่อผมเอาได้
มาพูดถึงราคากันก่อนครับ ราคาขายหน้าร้านของเจ้าสมุดเล่มนี้แบ่งตามขนาดที่มีด้วยกัน 3 ขนาดเลือกใช้ได้ตามความชอบความถนัดเลยนะ ซึ่งราคามีดังนี้
– Pocket 535 บาท
– Large 760 บาท (เล่มนี้)
– XL 1,040 บาท
เกริ่นให้ฟังกันหน่อยคือ สมุดเล่มนี้เป็นสมุดอัจฉริยะที่เราจดบันทึกลงในหน้ากระดาษ แล้วสามารถใช้สมาร์ทโฟนเช่นไอโฟนมาบันทึกหน้ากระดาษนั้นเก็บไว้ในรูปแบบดิจิทัลได้ แต่ความเท่สุดๆ มันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สมุดเล่มนี้แถมสติ๊กเกอร์สำหรับเอาไว้แปะบนหน้ากระดาษเพื่ออำนวยความสะดวกและบ่งบอกว่าเอกสารที่บันทึกนั้นอยู่ในหมวดหมู่ใด พูดไปก็อาจจะยังไม่เห็นภาพ ยังไงลองอ่านรีวิวของ Moleskine Evernote Smart Notebook คราวก่อนเป็นน้ำจิ้มก่อนนะครับ และเดี๋ยวช่วงท้ายๆ ของรีวิวผมมีตัวอย่างการใช้งานมาให้ชมกันครับ แต่ตอนนี้เรามายลโฉมสมุดเล่มนี้กันก่อนดีกว่า
Moleskine Evernote Cahier Journal ขนาดที่ผมได้รับมานั้นเป็นขนาด large ครับ แต่จะแตกต่างกับสมุด Moleskine แบบดั้งเดิมตรงที่ว่าสมุดเล่มนี้เป็นแบบ cahier (คะ-เย) หรือก็คือสมุดบันทึกปกอ่อนครับ โดย 1 แพ็คประกอบด้วยสมุด 2 เล่มแบ่งใช้ได้ตามสะดวก หน้าตาของสมุดเล่มนี้พูดตรงๆ เลยครับว่าเชยและไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็น Moleskine สักเท่าไหร่ เพราะด้วยที่สมุดมีการใช้สีปกเป็นสีน้ำตาลของกระดาษไปเลยทำให้นึกถึงสมุดแจกฟรีสมัยเรียนชั้นประถม แต่ยังดีที่มีการเคลือบมันบนปกด้วยทำให้ดูสวยไปอีกแบบ และที่ส่วนของขอบปริเวณสันสมุดมีการทำแถบคาดสีเขียวสีเอกลักษณ์ของ Evernote และประทับโลโก้หัวช้างมาด้วย ทำให้มั่นใจได้เลยว่าสมุดเล่มนี้สามารถใช้งานกับ Evernote ได้แน่นอน และเมื่อพลิกสมุดดูด้านหลังก็อุ่นใจว่าใช่สมุด Moleskine เพราะว่ามีโลโก้ปั้มลึกอยู่บนปกหลังครับ ของแท้แน่นอนไม่ใช่สมุดไก่กาที่ไหน
เปิดสมุดออกดูก็จะพบกับด้านใน โดยสมุดแบบ cahier นี้จะไม่มีการใส่กระดาษรองปกมาให้เพราะไม่ได้ใช้วิธียึดปกด้วยกาว แต่จะใช้การเย็บแบบพับเดียว (1 signature) ซึ่งต้องบอกว่าสมุดเล่มนี้มีการเย็บกระดาษแน่นหนามากๆๆๆ เย็บเป็นแนวตั้งแต่สันด้านบนไปจนถึงด้านล่างเลย ซึ่งนี่ถือเป็นข้อดีเพราะสมุดจะไม่ฉีกขาดหรือหน้ากระดาษหลุดง่ายเหมือนสมุดโหลเย็บแม็ค 3 ตัวทั่วๆ ไปครับ
กระดาษของสมุดเล่มนี่เป็นแบบ “ตารางจุดประ” หรือที่ทาง Moleskine เรียกว่า Squared ครับ ซึ่งหน้ากระดาษแบบนี้ดีทั้งสำหรับการเขียนหนังสือรวมทั้งร่างภาพออกแบบครับ เช่นตัวผมเองก็เอาไว้ใช้สำหรับเขียน wireframe ในการออกแบบอินเตอร์เฟสของเว็บหรือโปรแกรม เป็นต้น
คุณอาจจะคิดว่าสมุดเล่มนี้ก็แค่กระดาษจุดประเอามาเย็บพับเดียวจบ แต่จริงๆ แล้วหากคุณลองส่องกระดาษแผ่นล่างๆ ดูจะเห็นว่ามีหน้ากระดาษอยู่จำนวนนึงที่มีรอยปรุไว้สำหรับฉีก เขียนบันทึกแล้วฉีกมอบให้คนอื่นได้สะดวก ไม่ทำให้หน้ากระดาษทั้งหมดหลุดออกมา ผมชอบจริงๆ ที่เค้าใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยแบบนี้ (ฉีกตอนจดโพยหวยคงสะดวกดีแท้)
สมุดเล่มนี้ไม่มีเชือกรัดสมุดหรือเชือกคั่นหน้าสมุดติดมาด้วย มันเลยพาลทำให้ผมคิดว่า Moleskine เล่มนี้จะต้องไม่มีซองเก็บของด้านหลังอันเป็นเอกลักษณ์ติดมาด้วยแน่ๆ …แต่มันดันมีเว้ยเห้ย!
ในซองด้านหลังนี้เองที่ผมได้พบกับสติ้กเกอร์อัจฉริยะที่มาพร้อมกับรหัสสมัคร Evernote Primium Service ฟรี 1 เดือนอีกด้วย ใครที่ซื้อสมุดเล่มนี้ไปแล้วอยากใช้งานแบบครบทุกฟังก์ชั่นก็อย่าลืมเอาโค้ดนี้ไปใช้นะ
สายตาผมไปสะดุดกับตัวอักษรชุดหนึ่งและเส้นตรงขีดยาวที่พิมพ์ติดอยู่บนช่องเก็บของด้านหลังของสมุด ผมส่องดูแล้วพบว่ามันเป็นตำแหน่งที่เอาไว้ใล้สำหรับวางนามบัตรลงไปเพื่อใช้แอป Evernote ถ่ายรูปและบันทึก โดยการวางบัตรที่ตำแหน่งนี้จะช่วยให้การประมวลผลและถ่ายภาพบันทึกได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นครับ
มาใช้งานกันเถอะ!
ก่อนอื่นผมอยากให้ลองดูวิดีโอการใช้งานฟังก์ชั่นสแกนนามบัตรกันก่อนครับ วิธีการคือเอานามบัตรวางลงในช่องที่อยู่บนปกสมุดด้านใน จากนั้นก็เปิดแอป Evernote กดปุ่ม Camera แล้วเลือกโหมด Bussiness Card เพื่อทำการถ่ายภาพนามบัตรครับ เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว ตัวแอปก็จะทำการประมวลผลข้อมูลที่ได้จากรูปนั้นด้วยวิธี OCR : Optical character recognition ทำให้เราได้ขอมูลไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมลหรือที่อยู่ครบถ้วนเหมือนบนนามบัตรเลยครับ
ข้อสังเกต
จากที่ผมลองพยายามสแกนนามบัตรของคุณแฟร้งค์ที่เป็นสีขาวและใช้ตัวหนังสือสีดำคมชัด เปรียบเทียบกับการสแกนนามบัตรของคุณเบิร์ดคนสวยในตำนาน(อันนี้เรียกชมหรือเปล่าหว่า?) โดยนามบัตรของคุณเบิร์ดคนงาม…พอได้แล้ว!! เป็นบัตรสีออกเหลืองและตัวหนังสือก็มีสีเหลืองน้ำตาลเช่นกันเพียงแต่จะเข้มกว่าเพื่อให้อ่านได้ แน่นอนว่าหากอ่านด้วยสายตามนุษย์เราก็สามารถอ่านได้ปรกติ แต่เมื่อลองใช้แอป Evernote สแกน ผลกลับ “ได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนและผิดพลาด” เช่นตัวเลข 6 สแกนบางครั้งก็จะกลายเป็นเลข 8 หรือไม่ก็เป็นเลข 0 รวมไปถึงตัวอักษรภาษาอังกฤษบางตัวก็เปลี่ยนไปเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ดังนั้นนามบัตรที่จะสามารถใช้ได้ดีกับ Evernote นั้นควรจะเป็นบัตรที่มีตัวหนังสือชัดเจนเพื่อให้สแกนได้ง่ายและข้อมูลถูกต้องครับ
การสแกนเอกสาร
มาต่ออีกนิดกับเรื่องการสแกนแอกสารครับ เราต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าสมุด Moleskine Evernote นั้นสามารถถ่ายหน้ากระดาษเพื่อบันทึกไว้ในตัวแอพได้ สมุดเล่มนี้ก็เช่นกัน ผมนำมาใช้จดงานที่ทำไม่ว่าจะเป็นการออกแบบอินเทอร์เฟสหรือโครงสร้างฐานข้อมูล เมื่อผมเขียนเสร็จแล้วผมก็จะนำสติ๊กเกอร์ที่ให้มาด้วยแปะไว้เพื่อระบุว่ามันคือหมวดหมู่อะไร ดังตัวอย่างหน้านี้ผมได้ใช้สติ๊กเกอร์รูปสายฟ้าสีเหลืองและรูปเครื่องหมายถูกสีเขียวแปะเพื่อแสดงว่ามันคืองานด่วนและเป็นงานที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าให้ดำเนินการต่อได้เลย จากนั้นผมจึงใช้แอพ Evernote ถ่ายรูปหน้าสมุดนี้เก็บไว้ เผื่อว่าภายหลังจะสามารถหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเอกสารได้โดยง่าย ด้วยเพราะสติ๊กเกอร์อัจฉริยะนี่เอง มันจึงช่วยลดภาระในการจัดหมวดหมู่ของเอกสารไปเลยครับ ตัวอย่างเช่นหน้านี้ เมื่อถ่ายภาพเสร็จไฟล์รูปก็จะถูกติดแท็กจัดหมวดหมู่ตามสติ้กเกอร์โดยอัตโนมัตทันที
อีกเรื่องคือคุณภาพของไฟล์เอกสารที่ได้แปรผันตามสีของหมึกปากกานะ หมึกปากกาที่ใช้เขียนบนหน้ากระดาษควรจะใช้สีหมึกที่มีสีเข้มมีความคมชัดอ่านง่ายเพราะเมื่อสแกนผ่านแอพแล้ว ถ้าหากเราใช้ปากกาที่มีสีอ่อนเช่นสีชมพู สีส้ม สีเหลืองมันจะมองเห็นไม่ค่อยชัดครับ
ฟิ้ววว ยาวจริงๆ กับรีวิวตอนนี้(เพราะกว่าครึ่งหมดไปกับการพล่ามไร้สาระ) แต่ตัวสมุด Moleskine Evernote Cahier Journal นั้นไม่ได้ไร้สาระเลย จะนำไปใช้จดบันทึกหรือจดงานก็ล้วนแล้วแต่สะดวก ผมเองเป็นคนนึงที่มักจะจดงานใส่กระดาษ A4 แล้วถ่ายรูปเก็บไว้จึงชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เพราะแทนที่จะถ่ายแล้วกลายเป็นรูปรวมกับรูปอื่นๆ แต่ด้วยความสามารถของแอป Evernote บวกกับสมุด Moleskine Evernote เล่มนี้เอง ทำให้การจัดเก็บเอกสารเป็นไปได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเก๋ไก๋บันทึกข้อมูลในนามบัตรได้ง่ายอีกด้วย ถึงแม้หน้าตาจะดูคลาสสิคไปนิดนึงชวนให้นึกถึงวัยเด็กและไม่ค่อยบ่งบอกถึงความเป็น Moleskine สักเท่าไร แต่ผมเชื่อแน่ครับว่าหากคุณได้ลองใช้แล้วละก็ คุณจะหลงรักสมุดเล่มนี้ไม่ต่างจาก Moleskine เล่มอื่นๆ อย่างแน่นอน
ปล. ขอขอบคุณ Moleskine Thailand ที่เชื้อเชิญไปงานเปิดหูเปิดตาในครั้งนี้ครับ และขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับสมุดในตำนานที่ประโยชน์มากล้มเล่มนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ!