ผมไม่ได้เป็นคนทึ่กลัวความมืด ไม่ได้เป็นคนที่กลัวความเงียบหรือสภาวะปราศจากซึ่งเสียงใดใด ความมืดนะเหรอ? ก็แค่พื้นที่ส่วนตัวสำหรับนั่งคิดงานและจินตนาการถึงเรื่องสนุกเท่านั้น ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องภูติผีที่จะโผล่ออกมาหลอกหลอนเราในเวลากลางค่ำกลางคืน ไม่มีวันที่หลอกผมได้สำเร็จหรอกเพราะว่าผมเป็นคนที่จิตแข็งมาก ใครๆ ก็รู้
คืนนี้เป็นคืนที่สว่างไสวอีกคืนนึงในเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์อย่างบางกอกนี้ ผมนั่งทำงานอยู่ริมหน้าต่างของห้องพักชั้น 7 เปิดไฟแสงอุ่นสลัวๆ เพียงเพื่อให้มองเห็นสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะให้หยิบจับได้สะดวกเท่านั้น เสียงเพลง Can’t buy me love ของวงเดอะบีทเทิล เล่นจังหว่ะสนุกสนานดังออกมาจากลำโพงที่เสียบเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ นิ้วของผมกำลังขยับไหวอย่างครื้นเครงไปกับการพิมพ์บทความรีวิวตอนใหม่เพื่อผู้อ่านของบีบีบล็อก
“ตอนนี้จะต้องสนุกแน่ๆ อยากให้คุณผู้อ่านที่เรารักยิ่งได้อ่านเร็วๆ จังเลย” …ก็ได้แต่ปากหวานสร้างภาพกันไป…
เนื่องด้วยห้องพักของผมนั้นอยู่ชั้น 7 ตอนกลางคืนดึกๆ หน่อยก็จะได้ยินเสียงลมพัดโหยหวนดังซ้ำไปซ้ำมา เสียงของลมนี้เปรียบเหมือนดั่งเสียงโอดครวญของหญิงสาวที่รอการกลับบ้านของคนรักจากแดนไกล บางช่วงที่ลมพัดแรงสอดแทรกผ่านตามช่องตึก ก็จะทำให้เกิดเสียงหวีดแหลมคล้ายเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความทรมาน แต่คืนนี้เสียงลมช่างส่งเสียงดังยิ่ง ฟ้าเริ่มส่องสว่างเป็นห้องๆ อันเนื่องเหมือนดั่งการฉลองเพื่อต้อนรับกับพายุฝนที่กำลังก่อตัวขึ้น
ฟ้ายังคงส่องแสงแว้บวาวอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีที่จะสงบลงเลย แสบสว่างผ่านลอดผ้าม่านหน้าต่างสีเขียวอ่อนเข้ามาให้พอแสบตา และแล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด เสียงกระทบของเม็ดในลงบนหลังคาบ้านสังกะสีในระแวกนั้นเริ่มดังขึ้น แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มเสียงขึ้นจนได้ยินชัดเจนจนอื้ออึงแม้ปิดหน้าต่างห้องแล้วก็ตาม
“อากาศเย็นลงอีกนิด…ช่างเหมาะแก้การทำงานเสียจริง” ผมยิ้ม
แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดแสงสว่างจ้าข้างนอกหน้าต่างนั่น ทิ้งระยะห่างไป 5 วินาทีก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าที่ดังกึกก้องอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เปรี๊ยงงงงงง!!! ครืนนนนน ตู้มมมมม!!!”
“เห้ย! นั่นมันเสียงระเบิดนี่หว่…” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบไฟทั้งห้องก็มืดดับลงพร้อมกับความเงียบ เพลงของเดอะบีทเทิลต้องหยุดลงพร้อมความมืดมิด ตอนนี้เป็นเวลาตี 1 กับอีก 26 นาทีเศษ ไม่มีแล้วซึ่งเสียงของผู้คนที่จะเดินไปมาตามทางเดินในชั้นเดียวกันกับห้องผม ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง เงียบ จากความสงบเปลี่ยนแปลงไปเป็นความวังเวง
ผมยังคงนั่งพิมพ์งานต่อเพราะว่าใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุคและยังพอมีพลังงานเหลืออยู่บ้าง แสงไฟหน้าจอสว่างจ้าในความมืดมิด เสียงตะกี้คงเป็นเสียงของหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดแน่ๆ เพราะผ่านไปกว่า 10 นาทีแล้วก็ไม่มีทีว่าไฟจะกลับมาสว่างอีก ส่วนข้างนอกหน้าต่างนั้นนะหรือ? ฝนก็ยังคงกระหน่ำถาโถมเข้าใส่หน้าต่างห้องอย่างไร้ซึ่งความปราณี
“แก็กๆ แก็ก วืวววววๆๆ แก็กๆ”
เสียงนี้ดังมาจากฝั่งขวามือของโต๊ะทำงาน ใช่แล้วล่ะ เสียงมันมาจากนอกหน้าต่างนั้น ผมหัวเราะแล้วคิดในใจว่า ‘มันจะมาเคาะกระจกอะไรตอนนี้วะ?’ แล้วผมก็พิมพ์งานต่อ… เอ๊ะ ตะกี้ผมกำลังพูดว่า ‘เคาะกระจก’ เหรอ?
เสียงแก็กๆ ยังคงดังต่อเนื่อง และยิ่งเร่งเร้าเพิ่มมากขึ้นทุกจังหว่ะจากภายนอกหน้าต่างนั่น เสียงเคาะที่เกิดจากปลายเล็บที่ปล่อยไว้จนยาวขาดการดูแลและตัดเล็ม เมื่อกระทบลงบนแผ่นกระจกหน้าต่างช่างสร้างความน่ารำคาญยิ่ง ในบางครั้งก็มีเสียงเล็บขูดจิกลงบนผิวหน้ากระจกด้วย บาดหู และเริ่มชวนให้หงุดหงิด
ผมนั่งพิมพ์งานไปทนฟังเสียงเคาะจากข้างนอกอยู่สักระยะหนึ่งก็มาถึงจึงที่คิดว่ามันช่างน่ารำคาญเกินไปแล้ว ผมลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านแล้วดันเก้าอี้ออกไปทางด้านหลัง หันหน้าเข้าหาหน้าต่างที่ยังคงปิดม่านอยู่ แสงฟ้าแลบยังคงสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ เสียงเคาะยังคงดังเป็นจังหว่ะ ผมเอื้อมมือไปจับที่ขอบของผ้าม่าน แล้วพูดกับตัวเองว่า
“ถ้าแกอยากจะเข้ามานักก็ขอเชิญเลยละกัน เจ้าผีน้อยแคสเปอร์เอ๋ย” ผมท้าทายแล้วจึงสะบัดผ้าม่านเปิดออก
“วี้ดดดดด!! เปรี๊ยงงงงงงง!!!” แสงสว่างจ้าวาบพร้อมด้วยเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาอีกครั้ง
แสงจากสายฟ้าสาดส่องตรงระเบียงนอกหน้าต่างช่วยให้สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ชัดเจน และสิ่งที่ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยก็คือ ระเบียงข้างนอกนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่สิ่งของตกกลิ้งด้วยแรงลม …หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตใดใด แสงสว่างดับมืดลงอีกครั้ง ผมยักไหล่แล้วเดินกลับมาทำงานต่อ ปล่อยมือจากผ้าม่านให้ปิดลงมาเหมือนแต่เดิม
“แก็กๆ แก็ก วืออออออ แก็กๆ” เสียงนี้กลับมาอีกครั้ง มันช่างน่ารำคาญจนสุดจะทน
ผมลุกไปที่หน้าต่างอีกครั้งแล้วก็คว้ามือเปิดม่านออกอย่างรวดเร็วเผื่อว่าจะพบกับ ‘บางสิ่ง’ ที่เป็นเจ้าของเสียงเล็บเคาะกระจกนี้ แต่ว่าระเบียงก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ผมงงงัน เสียงเคาะเงียบลงเสมือนว่าตกใจกับการเปิดม่านอย่างรวดเร็ว ผมยืนเปิดม่านอยู่สัก 30 วินาทีเห็นจะได้แล้วเสียงเคาะกระจกก็กลับมาอีกครั้ง
…แต่ระเบียงก็ยังคงว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงหยุดนิ่ง มองเห็นแค่ตู้แอร์เก่าๆ ที่ใบพัดนิ่งสนิทเพราะขาดซึ่งพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น ภายนอกหน้าต่างยังคงสามารถมองเห็นได้ชัดได้จากแสงฟ้าแลบเวลาสั้นๆ แต่แล้วเสียงเคาะก็ยิ่งดังรัวขึ้นอีก ผมมองไปรอบๆ เพื่อหาซึ่งเจ้าของเสียงนี้อีกครั้ง แต่ก็เหมือนกับว่าเค้าไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่เคยอยู่ตรงนั้น ไม่แสดงตัวตน แต่ผมรู้ว่าเค้าอยู่ข้างหน้าผมนี่แหละเพียงแต่ไม่ปรากฎตัว
แสงมืดลงอีกครั้ง ทิ้งระยะเวลาห่างไปราว 3 วินาทีเห็นจะได้ก่อนที่สายฟ้าสายใหม่จะฟาดจ้าลงมาสว่างวาบไปทั่วทั้งพื้นที่ และในที่สุดผมก็ได้เห็นในที่สุด! ภาพที่ปรากฎขึ้นเบื้องหน้าช่างน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะนึกถึง เสียงเคาะยิ่งเร้ารัวขึ้นเหมือนต้องการที่จะเข้ามาภายในห้องนี้ให้จงได้ ผมก้าวถอยห่างออกมาจากหน้าต่างเพราะว่าไม่สามารถทนเห็นเจ้าอสูรกายนี้ได้ ใช่แล้ว! ผมรู้จักมันดีเลย!
“ไอปีเตอร์! ที่แท้ก็อิแมลงสาบกาก กูก็หลอนนึกว่าผีหลอกเสียอีก!!”
…สรุปว่าไอเสียงเล็บเคาะกระจกนี้ไม่ใช่ผีสางหรือภูติห่านอะไรมาเคาะเล่นเลยครับ มันคือเจ้าแมลงสาบที่บินพุ่งเข้าชนหน้าต่างหวังจะเข้ามาหาอาหาร หรือเพียงเพื่อที่จะเข้ามาพักอาศัยในคืนที่หนาวเหน็บเช่นนี้ …ผมควรจะสงสารมันแล้วปล่อยให้มัยบินเข้ามาอย่างเฉิดฉายแล้วพักพิงดีมั้ย? หรือจะใจร้ายปล่อยให้มันเผชิญชะตากรรมกลางสายฝนอันหนาวเหน็บดี?
…ยังครับ ผมยังหาทางเข้าสู่เนื้อหารีวิวไม่ได้
…
ผมปิดม่านลงแล้วเปลี่ยนมาใส่หูฟังแทนเพื่อจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงของมันอีก แสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์สาดกระทบกับสิ่งของต่างๆ ในห้องนอน แสงประกายระยิบระยับเปล่งออกมาจากข้าวของต่างๆ ในห้องไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอทองคำฝังเพชร แหวนทองคำขาวประดับด้วยพลอยสีเขียวอมน้ำเงิน มงกุฎเพรชสีรุ้งที่วางอยู่บนหัวเตียง และสิ่งอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่เปล่งประกาย รวมไปถึงกุญแจมือที่ยึดติดอยู่ตรงหัวเตียง…
ถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่าผมรวยมากสินะแต่เปล่าเลย …คือผมใช้ร่างกายไปหลอกแม่หม้ายที่มาจ้างผมไปตัดหญ้าที่บ้านของแกหน่ะ เปรม…
แต่สิ่งนึงที่เปล่งประกายระยิบระยับไม่แพ้กับข้าวของที่ไปหลอกมานั้นกลับเป็นสิ่งที่เกินคาดคิดได้ สิ่งนั้นก็คือหน้ากระดาษบนสมุดในตำนาน Moleskine หน้านึงที่วางอยู่ข้างๆ คอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือที่เขียนบันทึกไว้นั้นเปล่งประกายเมื่อมีแสงมาตกกระทบราวกับตัวอักษรบนสมุดบันทึกของริดเดิ้ล และนี่แหละครับ คือที่มาของสิ่งที่เราจะมารีวิวกันในวันนี้
…ในที่สุด
Diamine Shimmertastic Ink :Shimmering Seas และNight Sky 50ml ที่สุดของหมึกปากกาหมึกซึมที่มีประกายระยิบ คุณผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้อ่านรีวิวของหมึกที่มีส่วนผสมของเกล็ดผงสะท้อนแสงกันมาแล้วในตอน “ตำนานแห่งหมึกเลือดประกายทอง J.Herbin 1670 340th Anniversary: Rouge Hematite” ซึ่งในตอนนั้นเป็นหมึกที่ผลิตขึ้นในโอกาศพิเศษของทาง J.Herbin ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 สี แต่ว่าหมึกในวันนี้เป็นหมึกจากทางฝั่งของ Diamine ครับ แถมผลิดมาให้เลือกใช้แบบจุใจกระเป๋าฉีกกันไปเลย
ผมได้รับการสนับสนุนหมึก 2 ขวดนี้จากคุณแฟร้งค์แห่งเว็บ fontoplumo.nl โดยแกให้ผมเลือกว่าจะเอาสีอะไรมาลองใช้บ้าง ซึ่งจากที่ผมอ่านรายชื่อและคิดว่าน่าจะสามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ก็เป็นหมึกสีดำและน้ำเงิน ผมจึงเลือกหมึกดำประกายเงิน Night Sky และหมึกน้ำเงินเข้มประกายทอง Shimmering Seas มาให้ได้ลองชมกัน ซึ่งราคาค่าตัวของเจ้าหมึกตัวนี้เมื่อได้รับส่วนลดจากโปรโมชั่นบีบีบล็อกและได้รับการยกเว้นภาษีแล้วจะอยู่ที่ขวดล่ะ $10.59 หรือเป็นเงินไทยเท่ากับ 375 บาท แต่! ค่าส่งพัสดุที่มีน้ำหนักมากจากประเทศเนเธอแลนด์นั้นทำเอาจุกไปเลยครับ! หมึกขวดเดียวขวดนี้มีค่าส่งอยู่ที่ $29.06 หรือ 1,035 บาท ทำให้ราคารวมแล้ว 1,410 บาท! ดังนั้นคำแนะนำของผมก็คือว่า ถ้าจะซื้อของจากเว็บคุณแฟร้งค์หรือจากร้านในเนเธอแลนด์ ควรหลีกเลี่ยงของที่มีน้ำหนักมากอย่างเช่นหมึกปากกาแบบขวดนะ เพราะค่าส่งแพงมหาศาลไม่คุ้มด้วยประการทั้งปวงครับ แต่ครั้งนี้ถือเป็นการนำมารีวิวให้อ่านกันสนุกๆ เนาะ
บอกแล้วว่าหมึกชุดนี้มีเยอะมากเลือกกันจนตาแฉะ หมึกทั้งหมดในชุด Diamine Shimmertastic Ink นั้นมีด้วยกันถึง 10 สีให้เลือกใช้ครับ โดยจะแบ่งเป็นหมึกประกายเงิน 4 สี และปรกายทองอีก 6 สี อันได้แก่
- Night Sky: ดำประกายเงิน (เลือกอันนี้)
- Blue Pearl: น้ำเงินประกายเงิน
- Magical Forest: เขียวประกายเงิน
- Blue Lightning: ฟ้าประกายเงิน
- Shimmering Seas: น้ำเงินประกายทอง (เลือกอันนี้ด้วย)
- Purple Pazzazz: ม่วงประกายทอง
- Red Lustre: แดงประกายทอง
- Brandy Dazzle: น้ำตาลแดงประกายทอง
- Golden Sands: เหลืองประกายทอง
- Sparkling Shadows: เทาประกายทอง
ในการรีวิวครั้งนี้ผมขอรีวิวรวบพร้อมกันสองตัวเลยนะครับในแต่ละหัวข้อ ซึ่งถ้าหากว่าตัวไหนมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกันผมจะเขียนอธิบายย่อยอีกทีนะ
Color
หมึกที่ผมได้รับมาเป็นสีดำประกายเงินและสีน้ำเงินประกายทองครับ โดย
– Shimmering Seas น้ำเงินประกาย โอ้วววว หมึกตัวนี้สิที่เด็ดดวงจริงๆ ครับ หมึกสีน้ำเงินโดยปรกติก็สวยอยู่แล้วครับแต่ด้วยเพราะมีเกล็ดผงสีทองสะท้อนแสงมาผสมด้วยแล้วยิ่งทำให้หมึกตัวนี้เด่นสะดุดตาสุดๆ ไปเลย เมื่อผมเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษ ผงสีทองก็จะไหลออกมาเปล่งสีทองตัดกันกับสีน้ำเงินอย่างชัดเจน ทำให้แม้ไม่ต้องเอียงสมุดก็ยังทำให้เห็นประกายทองได้ง่าย แล้วยิ่งเมื่อหยิบสมุดไปต้องแสงไฟแล้วละก็ ประกายทองยิ่งแปลงแสงสวยทั้งหน้ากระดาษเลยครับ แนะนำๆๆๆ
– Night Sky ดำประกายเงิน นั้นก็เป็นหมึกดำที่สีดำออกไปทางเย็นและแน่นอนว่าต้องมีประกายเงินด้วย สีของหมึกนั้นเวลาเขียนจะไม่ค่อยปรากฎเกล็ดผงสีเงินให้เห็นเด่นชัดมากนัก ทั้งนี้เนื่องมาจากว่าสีของหมึกและตัวเกล็ดออกไปในแนวทางเดียวกันเลยทำให้มองเห็นประกายยากสักหน่อย แต่เมื่อเราลองเอียงสมุดดูก็จะเห็นประกายเงินเปล่งออกมาชัดเลยครับ ถึงแม้จะไม่อู้ฟู่เท่าที่ใจอยากครับแต่เรียกได้ว่ามีประกายพอให้รู้สึกพิเศษเมื่อได้เห็น
Feather
เส้นแตกนั้นพอมีให้เห็นบ้างเล็กน้อยครับ จะมีแค่บางตัวอักษรหรือบางเส้นเท่านั้นที่เราจะเห็นรอยเส้นแตกของหมึกได้บ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเส้นยังคงคมชัดอ่านแล้วสวยทีเดียว
Dry Speed
เป็นหมึกที่แห้งเร็วมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะครับ เพียงแค่ไม่เกิน 5 วินาที หมึกก็ซึมผ่านกระดาษแล้วก็แห้งหมดแล้ว ใครที่เขียนหนังสือเร็วๆ หรือถนัดซ้ายอาจลองพิจารณาหมึกตัวนี้ก็ได้นะจะได้ไม่เลอะมือ ทั้งนี้เพราะว่าผมทดสอบบนกระดาษ Moleskine แบบธรรมดานะ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นกระดาษตัวอื่นเช่นมีการเคลือบผิวหรือเนื้อกระดาษแน่น ก็จะทำให้ความเร็วในการแห้งต่างกันไปครับ
Bleed
หากมีการแข่งขันว่าหมึกตัวใดซึมทะลุแกนโลกมากที่สุด Diamine คงเป็นตัวเต็งไม่แพ้ตัวไหนๆ พลิกกระดาษบางๆ กากๆ ของสมุด Moleskine ดูสิครับ เราจะเห็นรอยของหมึกซึมมาทักทายเราทั้งๆ ที่ไม่ต้องการอยู่เต็มหน้ากระดาษไปหมดเลย
Ink Flow
ตายๆๆ หมึกไหลดีเป็นเขื่อนแตกตามแบบฉบับของ Diamine เค้าเลยล่ะ ใครที่ใช้ปากกาแบบ wet หรือหมึกไหลเยอะ หมึกก็จะยิ่งไหลดีสีเข้มเพิ่มขึ้นไปอีกครับ
Smooth
ตามสูตรของหมึก Diamine รุ่นก่อนๆ ที่ไม่ได้เป็นหมึกที่เขียนลื่นปรื้ดดดหรือเขียนได้มันมือ ซึ่งทีแรกผมแอบคิดเหมือนกันนะว่าอาจจะมีการเปลี่ยนสูตรใหม่แล้วอาจจะเขียนลื่นขึ้น แต่ว่ายังคงเขียนได้ในระดับกลางๆ ไม่ลื่นแต่ก็ไม่ฝืดมากมายอะไรครับ
Waterproof
ผมแอบหวังลึกๆ ว่าหมึกตัวนี้อาจจะกันน้ำได้บ้างแต่เปล่าเลยครับ พอแช่น้ำปุ๊บทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่วมสร้างกันมาก็พังทลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แค่เพียงรอยหมึกปากกาจางๆ บนแผ่นกระดาษเท่านั้น แต่ผมลองส่องดูใกล้ๆ ก็ยังเห็นว่าในบางจุดก็ยังมีประกายทอง-เงินติดอยู่นะ แปลกดีเหมือนกัน
คำแนะนำในการใช้หมึก
ในการเติมหมึกประเภทนี้ ก่อนเติมจะต้องเขย่าขวดหมึกทุกครั้งเพื่อให้อนุภาคหรือเกล็ดผงโลหะที่นอนก้นอยู่กระจายทั่วในน้ำหมึกครับแล้วจึงค่อยสูบหมึกขึ้นมาเติมครับ ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่เขย่าแล้วเติมเลย เราก็จะได้แค่น้ำหมึกเพียวๆ ไม่มีเกล็ดผงสะท้อนแสงเลยนะ
อีกเรื่องก็คือ เวลาใช้งานจริงทำไมถึงไม่ค่อยมีผงทอง-เงินพวกนี้ในตัวอักษรที่เขียนออกมาเลย นั่นเป็นด้วยเหตุผลเดียวกันครับคือผงโลหะมันนอนก้น บางทีเราวางปากกาไว้บนโต๊ะหรือเหน็บกับกระเป๋าแล้วหยิบมาเขียนเลย ก็จะทำให้ผงโลหะกระจายไม่ทั่วถึงในน้ำหมึก ดังนั้นก่อนจะใช้ก็ลองเขย่าปากกาของเราเบาๆ ครับแล้วค่อยเขียน และถ้าอยากให้มีประกายมากๆ ในตัวอักษร แนะนำว่าลองคว่ำหัวปากกาลงสัก 5 – 10 วินาทีแล้วจึงค่อยเขียน รับรองว่าคราวนี้ประกายมาเต็มๆ แน่นอนครับ
ข้อควรระวัง!
เนื่องด้วยหมึกประเภทที่มีส่วนผสมของเกล็ดผงโลหะที่ละเอียดมาก แต่ถึงแม้ว่าจะละเอียดยังไงก็ยังไม่ละเอียดพอที่จะไหลผ่านส่วนต่างๆ ของปากกาหมึกซึมไปได้ทั้งหมด มันจึงสามารถที่จะติดค้างอยู่บ้างตาม ink feed หรือ nib ดังนั้นเมื่อใช้จนหมึกหมดแล้วก็ควรที่จะล้างทำความสะอาดปากกาของเราครับ เพราะถ้าปล่อยให้หมึกแห้งเป็นระยะเวลานานก็อาจทำให้ปากกาตันได้ แถมตันหนักกว่าหมึกแบบทั่วไปที่ไม่มีผงโลหะแบบนี้ด้วยนะ (อ่านวิธีล้างปากกาล้างปากกาหมึกซึมได้ที่นี่นะ “คาบ 2 : วิธีล้างปากกาหมึกซึมลามี่ซาฟารีอย่างถูกวิธีและปลอดภัย”)
ความเห็นจากผม…คนสวนผู้ตบของจากแม่หม้าย
ผมมองว่าพวกหมึกที่มีเกล็ดผงเงิน/ทองสะท้อนแสงนั้นเป็นอะไรที่เท่มากๆ เลยนะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดนั่นก็คือ “ความเข้ากันของสีหมึกและสีของเกล็ดผง จากตัวอย่างที่ผมนำมาทดสอบให้ดูนั้นจะเห็นว่า หมึก Night Sky ที่เป็นดำประกายเงิน เราจะเห็นสีของหมึกสีดำชัดแต่ตัวเกล็ดเงินนั้นมองไม่ค่อยออกว่ามันสะท้อนหรือยัง นั่นเป็นเพราะว่าโทนสีมันไปในแนวทางเดียวกัน ต่างจากหมึก Shimmering Seas ที่เป็นหมึกน้ำเงินประกายทอง จะเห็นว่าทั้งสีของหมึกและเกล็ดทองออกไปในแนวของคู่สีที่ตรงข้าม(จริงๆ มันเยื้องๆ กันหน่อย) เลยทำให้เวลาที่เรามองเห็นหมึกและประกายของมัน เราจะสามารถเห็นได้ชัดเจนเพราะสีมันตัดกันชัด ดังนั้นผมมองว่าหมึตัวอื่นๆ ที่น่าจะทำให้เห็นประกายสะท้อนแสงได้ชัดนั่นก็คือ Purple Pazzazz (ม่วงประกายทอง) หรือไม่ก็ Red Lustre (แดงประกายทอง) ก็น่าจะเป็นหมึกที่เห็นประกายได้ชัดกว่าตัวอื่นๆ นะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการเลือกใช้หมึกมันก็ขึ้นกับตัวผู้ใช้เองว่าชอบสีอะไร จริงมะ?
ผมค่อนข้างถูกใจเลยนะครับกับหมึก Diamine Shimmertastic Ink สองขวดนี้ ถึงแม้ว่าตัวหมึกดำประกายเงิน Night Sky จะเปล่งประกายแล้วดูยากไปหน่อยแต่ก็สามารถเห็นได้เมื่อหันสมุดถูกมุมถูกทิศกระทับกับแสงจริงๆ ส่วนตัวหมึกน้ำเงินประกายทอง Shimmering Seas นั้นไม่ต้องอธิบายกันอีกแล้วว่าผมปลื้มปริ่มกันขนาดไหน ก็แค่ตัวสีน้ำเงินของหมึกยังสดสวยเลย พอได้ประกายทองมาช่วยเสริมก็ยิ่งทำให้ตัวอักษรโดดเด่นขึ้นไปอีก ใครที่สนใจอยากได้หมึกเก๋ๆ เท่ๆ แบบนี้ไว้ใช้ก็ลองเมียงมองหาซื้อได้ หาจ้าวที่ถูกๆ หน่อยก็ได้ จะได้มีโอกาสลองได้หลายๆ สีเนาะ ส่วนภายหลังถ้าผมทราบแหล่งขายที่ราคาสมเหตุสมผล ผมก็จะมาแจ้งให้ทราบกันนะครับ
“แก็กๆๆๆ ก็อกๆ แก็กๆๆๆ แก็กๆๆๆๆๆ” เรียงเคาะกระจกยังคงดังต่อเนื่องแต่ถี่ขึ้นอย่างสังเกตได้
ผมหัวเราะและตัดสินใจเปิดม่านหน้าต่างอย่างรวดเร็วๆ เพื่อกะจะให้เจ้าแมลงสาบนั้นตกใจแล้วบินหนีไป แต่แล้วผมก็ต้องร้องอุทานออกมาลั่นห้อง
“เชี่ยยยยยยยยย! มันพาเพื่อนมาด้วย!!!”
…บ้านแกอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรมหรือไงฟระ?
ขอขอบพระคุณ
คุณแฟร้งค์แห่งเว็บ fontoplumo.nl ที่สนับสนุนหมึกสองขวดนี้มาให้จากแดนไกลทั้งๆ ที่ค่าส่งแพงมาก ขอบพระคุณครับ!
ปล. หวังว่าธีมมืดวันฮาโลวีนจะไม่ทำให้อ่านยากเกินไปนะ…ซึ่งก็ยากจริงแต่ไม่แคร์ กรั่ก