กลางป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้สูงใหญ่ พุ่มผลไม้ป่า เถาวัลย์เลื้อยเลี้ยวโยงใยอยู่ทั่ว แหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เจอแต่ก้อนเมฆสีหม่น เมฆฝนกำลังเตรียมบิดตัวอย่างเกียจคร้านเพื่อหลั่งฝนลงมาสู่ผืนป่าผืนนี้ ผืนป่าที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองเข้ามา ไม่แม้แต่จะอยากเอ่ยถึง…
ผมมองผ่านยอดไม้ที่หนาแน่นออกไปทางทิศเหนือ เห็นสายควันไฟที่กำลังลอยเอื่อยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ในป่าแห่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีมนุษย์คนใดอาศัยอยู่ หรือว่านี่อาจจะเป็นนายพรานในตำนาน? นายพรานที่มีแต่เสียงเล่าลือกันว่า ณ ป่าดงดิบที่มีแต่สัตว์ร้ายและต้นไม้ที่ไม่ไหวติงไร้ซึ่งมนุษย์อยู่อาศัย แต่กลับมีมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ได้ มนุษย์คนนั้นก็คือนายพรายในตำนาน เรย์มอนด์ ฮั้นท์ หลายต่อหลายเสียงในเมืองทางตอนใต้ของป่าแห่งนี้ต่างเล่าบอกเรื่องที่แตกต่างกันไปเสียทั้งหมด
คนตีเกือกม้าเล่าว่า พรานหนุ่มคนนี้อกหักช้ำรักจากเมืองใหญ่จนต้องหนีเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพังเพื่อที่จะได้ลืมรักในครั้งนั้น
ส่วนแม่ชีเฒ่านัยตาบอดกลับเล่าในเรื่องที่ต่างกันออกไป ท่านเล่าว่าพรานคนนี้อายุมากแล้ว เรียกว่าพรานแก่น่าจะถูกต้องกว่า พรานคนนี้เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อตามล่าหาสัตว์สายพันธุ์หนึ่งเพื่อนำขนของมันมาทำสิ่งของ แต่ทว่าระหว่างที่กำลังเดินลงไปในแม่น้ำเพื่อตามจับเจ้าสัตว์ตัวนั้น เขากลับถูกจระเข้ตัวยาวกว่า 20 เมตรโจมตีและกลืนลงท้องทั้งเป็น
เด็กๆ ที่วิ่งเล่นภายในเมืองชายป่าก็วิ่งร้องเพลงพื้นบ้านที่แต่งโดยชายนิรนามคนหนึ่ง เนื้อเพลงมีว่า “ในป่าใหญ่ มีคนบ้า เดินไปมา ไข่แกว่งโทงเทง~~”
แต่ทั้งหมดก็ยังไม่น่าฉงนชวนประหลาดใจเท่ากับเรื่องเล่าจากปากผู้เล่าคนสุดท้าย ตาแก่ช่างสลักป้ายหลุมศพผู้ซึ่งเคยเห็นผู้คนผ่านตามาแล้วหลายร้อยคนเล่าว่า แท้ที่จริงแล้วนายพรานในตำนานอาจจะไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงก็เป็นได้ ไม่มีใครเคยพบเห็น ไม่มีใครเคยพูดคุย ไม่มีใครรู้ว่าอายุที่แท้จริงคือเท่าไรกันแน่ แต่ละคนก็เล่ากันไปต่างๆ นานาตามแต่ที่ในหัวจะคิดและจินตนาการได้ เรื่องของข้าสนุกกว่าเรื่องเจ้า เรื่องของเจ้านั้นมันน่าเบื่อ ต่างคนต่างก็แต่งเรื่องอวดกันจนแยกไม่ออกว่าเรื่องใดจริงหรือเรื่องใดเท็จ ดังนั้นหากต้องการตามหาเค้า…ก็ให้ทำใจไว้ก่อนเลยว่าอาจจะพบเพียงแค่หมอกควันแห่งจินตนาการก็เป็นได้
…ผมเดินเท้าฝ่าป่าดงดิบแห่งนี้มาเป็นเวลาร่วม 6 วัน 6 คืนแล้ว อาหารและน้ำที่เตรียมไว้สำหรับเป็นเสบียงใกล้ที่จะหมดอยู่เต็มที แรงกายและแรงใจสูญสลายไปหมดสิ้น ผมทั้งฆ่าหมี ซุ่มโจมตีเสือ และซ่อนเร้นกายจากฝูงหมาป่าที่กระหายกลิ่นคาวเลือดจากบนตัวผม ตลอดทั้ง 6 วันแทบไม่มีเวลาให้ร่างกายได้พักฟื้นจากความบาดเจ็บจากการต่อสู้เลย ผมล้มลงบนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยเลือดของหมาป่านับสิบ กระสุนเหลือเพียง 2 นัด ไม่เพียงพอสำหรับจัดการหมาป่าที่เหลืออีกกว่า 20 ตัวเป็นแน่ ความหวังริบหรี่ เปลือกตาเริ่มปิด ลมหายใจแผ่วเบาลง แขนทั้งสองข้างล้าจนไม่อาจจะถือปืนได้อีกต่อไป ผมล้มตัวลงนอนอย่างสิ้นหวังรอให้ฝูงหมาป่าที่เหลือมาขย้ำกระชากผมออกเป็นชิ้นๆ ตาผมเหม่อลอยไปบนท้องฟ้า นกเหยี่ยวจากที่ไหนกันนะที่บินอยู่ตรงนั้น? แล้วควันไฟนั่นมาจากไหนกันแน่?
เสียงฝีเท้าของหมาป่ากลุ่มใหญ่วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ สงสัยมันคงไปตามพรรคพวกที่เหลือมารุมเล่นงานผมเป็นแน่ ตาผมใกล้จะปิดแล้ว นั่นยังไงหมาป่าหัวหน้าฝูงพุ่งกระโจนเข้ามาแล้ว …ลาก่อนโลกนี้ สุดท้ายผมก็ไม่ได้พบคุณสินะท่านนายพรานในตำนาน…
บรึ้มมมมมม!!!!!
…
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในกระท่อมไม้ใกล้พังแห่งหนึ่ง จับดูเนื้อตัวและอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่ยังอยู่ครบ ร่างกายได้รับความอบอุ่นจากกองไฟทางฝั่งซ้าย ถัดไปทางฝั่งขวามือมีปืนทั้งสองกระบอกวางอยู่ ผมดันตัวให้ลุกขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ
“นั่นใครน่ะ?!” ผมตะโกนถามไปยังเงาของมนุษย์ที่พาดตัวลงบนผนังของกระท่อม
“ข้ารึ? ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่ข้าพาเจ้ามาพักหลบฝูงหมาป่าที่กระท่อมแห่งนี้เอง” ชายปริศนาตอบ
“นั่นใช่คุณหรือเปล่า? คุณ…ผู้เป็นนายพรานในตำนาน เรย์มอนด์ ฮันท์”
“เรย์เอ๋ยเรย์มอนด์ ข้าไม่ได้ยินใครเรียกข้าแบบนั้นมานานแล้ว ใช่! ข้านี่แหละ เรย์มอนด์ ฮันท์” เรย์มอนด์ ฮันท์นายพรายตอบพลางครุ่นคิด
“ผมตามหาคุณมานานมากครับ! อาศัยทั้งข่าวลือตามเมืองต่างๆ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลบุกป่าฝ่าภัยอันตรายเพื่อมาพบคุณ!”
“น่าแปลก ข้าไม่ได้ออกสู่โลกภายนอกมาเกือบ 20 ปีแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังมีใครจำข้าได้ด้วยซ้ำ …ว่าแต่ว่าทำไมเจ้าถึงอยากพบกับข้าล่ะ?” เรย์มอนด์ ฮันท์สงสัย
“ผมได้ยินมาว่าคุณคือผู้สืบทอดวิชาผลิตพู่กันในตำนานของอาจารย์ ริชาร์ด เรเนย์ ศิษย์คนสุดท้ายและคนเดียว ผู้ซึ่งได้ออกเดินทางตามหาเส้นขนของสัตว์ในตำนานชนิดนึงเพื่อมาทำพู่กันที่ยอดเยี่ยมที่สุดหนึ่งเดียวของโลก ตอนนี้ผมกำลังศึกษาวิชาทำพู่กันอยู่ครับ เลยอยากเดินทางมาเพื่อให้ได้เห็นเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิตว่าพู่กันอันนี้มีหน้าตาเป็นอย่างไร” ผมตอบด้วยความใคร่รู้
“ใช่!! ข้าตามหาสัตว์ตัวนั้นมาทำพู่กัน ขนของมันช่างนุ่มราวกับขนปีกของนางฟ้า อุ้มน้ำราวกับอ้อมกอดของมารดาที่ให้ความอบอุ่นลูก สัตว์ชนิดนี้ก็คือเซเบิลยังไงล่ะ!” พรานตอบ
“ว่ายังไงนะ?!! เซเบิล?!!” ผมถามด้วยไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ใช่แล้ว เซเบิลนี่แหละที่ข้าตามหามานานหลายปีจวบจนบัดนี้ก็ยังไม่เจอ ตอนแรกข้าก็เดินตามหาเจ้าตัวเซเบิลนี้ตามชายป่า ใช้วิธีขโมยอาหารของชาวบ้าน แอบหยิบข้าวของเครื่องนุ่งห่มของคนในหมู่บ้านมาใส่เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ข้าทำเข็มทิศหล่นหายระหว่างการเดินทาง แผนที่ที่พกติดตัวมาด้วยก็เปียกน้ำฝนจนฉีกขาด ข้าเลยไม่สามารถออกไปจากป่าแห่งนี้ได้ แต่ละวันต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก ต้องกินหนอน ไส้เดือน บางวันดีหน่อยมีตัวเงินตัวทองให้กิน แต่หลังๆ นี่ชีวิตดีขึ้นเยอะ ข้าแกร่งพอที่จะฆ่าหมาได้ล่ะ เลยได้เนื้อหมามาเป็นอาหารประทังชีวิต” พรานเล่าเรื่องพร้อมเหม่อมองไปนอกหน้าต่างกระท่อมและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“อะไรนะ?! ทั้งขโมยของ! กินหนอน! กินเหี้ย! แล้วนี่ยังจะกินหมาอีก! ถ้าผมรู้ว่าคุณแค่ตามหาตัวเซเบิลแล้วหลงป่าหาทางออกไม่ได้จนต้องติดอยู่เป็นเวลา 20 ปี แถมยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ทำพู่กันเลยสักด้าม ผมไม่เสียเวลาตามหาคุณแบบนี้หรอก! คุณรู้มั้ยว่าสมัยนี้เค้าไม่ต้องตามหาตัวเซเบิลไปทำพู่กันกันอีกแล้ว! แค่คลิกๆๆๆ พู่กันขนเซเบิลก็มาส่งถึงหน้าบ้านแล้ว!” ผมระเบิดโทสะ
“ก..ก..ก็มัน…” นายพราน…หรือต่อไปจะเรียกว่าไอแก่กากดี? พยายามแก้ตัวแต่ก็ไม่มีอะไรเสียงใดๆ ออกมาจากปากของเขา
“มานั่งนี่! มาดูพู่กันของผมอันนี้กัน! มันคือ! Escoda Reserva Kolinsky-Tajmyr Sable Series 1214 Retractable Travel Brush!!”
…
เหยดดดดดดด ผมไม่เคยคิดเลยครับว่าบล็อกตอนนี้จะเปิดเรื่องเป็นนิยายที่โคตรยาวไร้สาระมากมายเสียขนาดนี้ ยังไงก็ทนๆ อ่านกันไปหน่อยละกันนะครับผมเขียนไปยังส่ายหัวไปเลย เอ๊ะ! ยังไง?
Escoda Reserva Kolinsky-Tajmyr Sable Series 1214 Retractable Travel Brush โหชื่อยาวโคตร! ขอเรียกสั้นๆ ว่า Escoda Reserva Retractable ละกันนะครับ อันที่จริงแล้วผมได้พู่กันอันนี้มาครอบครองนานแล้วครับตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่เชียงใหม่เลย (พูดเหมือนนานเนาะ ที่จริงแค่ 5 เดือนเอง) แต่คิดแล้วคิดอีกว่าไม่รู้จะรีวิวให้อ่านกันอย่างไรดีเพราะว่าความเจ๋งของมันนั้นยากที่จะสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ครับ! โห..โคตรอวยหว่ะ (แถวบ้านเรียกว่าดอง -..-)
ใช่แล้วครับตามที่หลายคนคิดนั่นแหละครับ อ่านจากชื่อของพู่กันสีน้ำด้ามนี้แล้วคงจะพอเดาได้ว่าพู่กันอันนี้มันไม่ธรรมดา เพราะว่าคำว่า Kolinsky-Tajmyr Sable เป็นตัวการันตีความพิเศษไว้ยังไงล่ะครับ พิเศษยังไงนะเหรอ? งั้นผมจะเล่าให้ฟังเรื่องราวของเจ้าสัตว์ในตำนานตัวหน่อยละกัน
Kolinsky-Tajmyr Sable[1] [2] หรือก็คือตัวเซเบิลนั้น เป็นสัตว์จำพวกพังพอนครับ แต่ว่าไอคำว่า Kolinsky-Tajmyr นี่ก็ชื่อสายพันธุ์ของมันครับ เซเบิลพันธุ์นี้เป็นพันธุ์ขนแดงจากแคว้น Tajmyr ประเทศรัสเซียที่ถือได้ว่ามีขนที่นุ่มและมีคุณสมบัติที่ดีที่สุดสำหรับการนำมาทำเป็นขนของพู่กัน[3]ครับ โดยขนเซเบิลที่เอามาใช้นั้นจะเป็นขนของเซเบิลตัวผู้ซึ่งเหมาะแก่การผลิตพู่กัน นั่นก็คือสามารถอุ้มน้ำได้ดีทำให้สามารถอุ้มสีเอาไว้ได้เยอะในการจุ่มสีเพียงครั้งเดียว เพื่อให้สามารถระบายสีได้อย่างต่อเนื่องและเรียบเนียนสนิทสวยงาม นอกจากนั้นไม่เพียงแค่ขนที่นุ่มแต่ยังสามารถคืนตัวได้ดีหรือที่เรียกกันว่า “สปริงตัว” ดี ทำให้ขนพู่กันเมื่อระบายแล้วก็ยังคงรักษารูปทรงของขนพู่กันให้สวยงามสำหรับการระบายในแต่ละครั้งครับ แถมขนของเซเบิลนั้นยังคงทน ใช้ได้นานกว่าขนพู่กันแบบสังเคราะห์อีกด้วยนะ เจ๋งเว่อร์!
ซึ่งด้วยคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมที่ได้กล่าวมานี้เองจึงเป็นข้อแตกต่างจากพู่กันที่ผลิตโดยใช้ขนชนิดอื่นครับ โดยที่เราพบเห็นได้ทั่วไปและมีราคาไม่แพงนั้นก็คือขนแบบสังเคราะห์หรือ Synthetic ครับ ขนชนิดนี้เป็นขนที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อเลียนแบบขนของสัตว์ครับ ดังนั้นการอุ้มน้ำ ความอ่อนนุ่มหรือการสปริงตัวก็จะทำได้ไม่ดีเท่ากับขนของตัวเซเบิลจริงๆ ครับ อุ่มน้ำได้น้อยกว่า ขนแข็งไม่อ่อนนุ่ม เรื่องสปริงตัวนั้นเรียกได้ว่าตั้งแข็งตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ตามด้วยเทคโนนีการผลิตพู่กันที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้สมัยนี้ขนพู่กันแบบ Synthetic มีคุณภาพที่สูงขึ้นมากในราคาที่ไม่แพงเลยครับคุ้มค่ามาก! แต่ก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าขนของตัวเซเบิลได้อยู่ดีสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายและใช้ได้ไม่ต้องกลัวพังมากนัก (เอาไว้บล็อกตอนต่อๆ ไปผมจะเอามารีวิวให้อ่านกันนะครับ ลงเรือมาล่ะ กรั่กๆๆๆ)
ฝากไว้นิดเรื่องขนขน : บางครั้งก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับว่าพู่กันที่มีการเขียนคำว่า Kolinsky จะต้องเป็นขนของเจ้าพังพอนขนแดงนี้เสมอไปนะครับ บางทีทางผู้ผลิตอาจจะมีการเอาขนของพวกกระต่าย กระรอกมาผสมด้วยก็ได้นะครับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ผลิตครับ
กลับเข้าเรื่องของพระเอกของเราในวันนี้ครับ Escoda Reserva เป็นรุ่น Retractable ซึ่งจริงๆ แล้ว Escoda Reserva นั้นมีด้วยกันสองรุ่นก็คือ รุ่นธรรมดาด้ามพู่กันยาวปรกติแบบที่ใช้กันทั่วไป และอีกรุ่นคือ Retractable คือรุ่นสำหรับพกพาออกไประบายสีนอกสถานที่ครับ แน่นอนว่าสเก็ตช์จอมขี้เกียจอย่างผมต้องถอยรุ่นนี้เพื่อออกไปสเก็ตช์นอกบ้านได้อย่างสะดวกแต่ให้อารมณ์เหมือนนั่งสเก็ตช์ด้วยพู่กันที่ใช้ที่บ้านครับ ผมได้เจ้า Escoda พู่กันเทพด้ามนี้เป็นแบบ round หรือก็คือพู่กันแบบกลมปลายแหลม โดยผมได้พู่กันนี้มาจากเว็บ jacksonsart.com เว็บไซต์ขายอุปกรณ์ศิลปะชื่อดังของเกาะอังกฤษครับ ขนาดที่ผมเลือกมาก็คือขนาดใหญ่ที่สุดนั่นก็คือเบอร์ 12 ครับ ราคาค่าตัวของเจ้าพู่กันขน Kolinsky นี้อยู่ที่ £25.24 หรือประมาณ 1,300 บาท …ใช่ครับ ผมซื้อพู่กันราคาพันสามมาระบายสีรูปกากๆ ของผมเล่นครับ T_T
ซึ่งราคาของพู่กันนั้นแต่ละขนาดแต่ละเบอร์นั้นจะมีราคาไม่เท่ากันนะครับ ขนาดเล็กก็ราคาถูกลงมาหน่อย แต่ถ้าใหญ่ขึ้นก็แพงขึ้นครับ ซึ่ง Escoda Reserva Retractable แต่ละขนาดนั้นมีราคาเท่าไรบ้างนั้น สามารถเข้าไปดูได้ที่หน้านี้นะครับ แต่ช้าก่อน!! คุณผู้อ่านพอกดเข้าไปแล้วอาจจะเห็นราคาของพู่กันแพงกว่าที่ผมบอกไว้เยอะ มันมีเคล็ดลับก็คือว่าต้องสมัครเป็นสมาชิกของเว็บนี้ก่อนครับซึ่งเมื่อเราสมัครและล็อคอินเข้าใช้แล้ว ราคาสินค้าส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปครับโดยราคาจะถูกลง!! ผมนี่โคตรงงเลยครับจะบอกว่าเค้าให้ราคาพิเศษกับสมาชิกก็ได้อยู่นะแต่มันแปลกๆ อ่ะ ถ้าจะจูงใจให้ซื้อทำไมไม่แสดงราคาหน้าเว็บให้ถูกๆ ไปเลยเนาะ ตลก เอิ๊กๆๆ ตล๊กตลก ป๊าบเข้าให้!!
เท่านั้นยังไม่พอ!!
หากว่าคุณสั่งซื้อแต่เฉพาะ Fine Art Brush หรือก็คือสั่งแต่ เฉพาะพู่กันอย่างเดียวโดยมีมูลค่ารวมเกิน £20 เค้าก็จะจัดส่งให้ฟรี ทันทีไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดของโลกครับ!! แม่จ๋าาาา ข้อเสนอมันช่างชวนให้เสียตัวจริงจริ๊งงงงง!(เสียตังค์เว้ย!!) ซึ่งการส่งของเค้านั่นจะไม่มี tracking number มาให้นะแต่ระยะเวลาโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14 วันครับ บรรจุหีบห่ออย่างดีสวยงามไม่มีอะไรบุบสลายครับ (ผมใช้คำว่า “เฉลี่ย” นั่นหมายความว่าผมโดนทำร้ายกระเป๋าตังค์มากกว่า 1 ครั้งแล้วครับ โฮฮฮฮฮฮ T_T)
แกะห่อพัสดุก็พบกับพู่กันเทพสวยงามน่าใช้เป็นที่สุดครับ ตัวด้ามนั้นทำจากโลหะสีทองดูหรูหราน่าใช้ ตรงส่วนของมือจับก็มีการนำไม้มาตกแต่งพร้อมพิมพ์ตัวอักษรสีทองบนไม้ช่างดูเข้ากัน ตรงส่วนปลายของปลอกพู่กันมีการเจาะรูเล็กๆ ไว้เพื่อระบายอากาศและความชื้นออกจากขนเวลาที่ปิดปลอกพู่กันด้วยครับรูปร่างขนาดพู่กันขณะเก็บก็ไม่ใหญ่มาก สั้นกว่าปากกาลามี่อีกนะ ซึ่งเมื่อเราต้องการจะใช้ก็แค่ดึงส่วนของตัวด้ามพู่กันและปลอกออกจากกันแล้วจึงค่อยเอาปลอกมาเสียบที่ก้นครับ ก็จะได้พู่กันสีน้ำขนาดปรกติตามที่ใช้กันในสตูดิโอแต่สามารถพกพาได้สะดวกครับ ผมลองเอาพู่กันตัวนี้มาลองชั่งน้ำหนักดูครับโดย Escoda Reserva Retractable ตัวนี้มีน้ำหนักอยู่ที่ 22.3 กรัม ซึ่งถือว่าเบามากครับ เหมาะแก่การพกออกไปสเก็ตช์นอกสถานที่เสียจริง
ผมขอเอาผลงานเก่าๆ ที่เคยสเก็ตช์ไว้ด้วยพู่กันตัวนี้มาให้ชมนะครับ …ใช่แล้วครับ ผมเอางานเก่ามาหากินอีกรอบ กร๊าากกก ลองดูให้ดีจะเห็นว่าในส่วนของผนัง กำแพง ท้องฟ้า จะมีสีที่เนียนเป็นเนื้อเดียวกันครับ นั่นก็เพราะว่าพู่กันตัวนี้อุ้มสีได้เยอะและมีขนาดใหญ่ทำให้สามารถระบายสีได้ในบริเวณกว้างโดยไม่เห็นฝีแปรงเล็กๆ ชวนขัดตาเหมือนของ waterbrush อีกทั้งความเข้ม-ความจางของสีก็มีความสม่ำเสมอแต่กับแบบ waterbrush ที่สีจะค่อยๆ จางลงนั่นก็เป็นเพราะว่าพู่กันแบบปรกติทั่วไปเมื่อจุ่มสีแล้วจะไม่มีน้ำไหลซึมปนออกมาครับแต่ waterbrush นั้นเมื่อเราจุ่มสีแล้ว ด้วยตัวกลไกของมันเองทำให้น้ำที่อยู่ตรงด้ามจับยังคงไหลออกมานั่นเอง
อีกจุดนึงที่ผมอยากให้ลองดูกันนะครับก็คือในส่วนรายละเอียดเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ ประตู ก้อนอิฐหรือส่วนอื่นๆ ที่มีพื้นที่เล็กนั้น ผมสามารถใช้พู่กัน Escoda Reserva Retractable เบอร์ 12 ใหญ่มโหฬารด้ามเดียวนี่แหละระบายได้ครบทุกรายละเอียดครับ นั่นเป็นเพราะด้วยคุณภาพของขนพู่กัน Kolinsky ที่มีการสปริงตัวดีและอยู่ทรง จึงทำให้ปลายพู่กันยังคงสภาพเล็กแหลมสามารถระบายสีในพื้นที่เล็กๆ ได้นั่นเองครับ
การดูแลรักษา : ขอเล่านิดนึงครับก็คือว่าผมเคยล้างพู่กันอันนี้โดยถึงแม้ว่าล้างอย่างสะอาดหมดจดไม่มีสีหลงเหลืออยู่แล้วก็ตามแต่ว่าผมดันไม่ได้ผึ่งลมให้แห้งครับ ดันทะลึ่งสวมเก็บเข้าปลอกเลย ผลที่ได้ก็คือผ่านไปไม่กี่วัน ราขึ้น!! ก็แหงล่ะครับขนพู่กันที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติแบบนี้ไอพวกรามันก็ต้องชอบที่จะมาขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้นก่อนเก็บทุกครั้งต้องผึ่งลมให้แห้งสนิทก่อนนะครับ พู่กันเทพจะได้อยู่กับเราไปนานๆ ครับ ท่องไว้ๆๆๆ พันสามๆๆๆ
ข้อสังเกต : หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าในเมื่อจะออกไปสเก็ตช์นอกบ้านแล้วทำไมถึงไม่ใช้ waterbrush ไปเลยล่ะ สะดวกกว่าแถมมีน้ำในตัว ไม่ต้องมาคอยจุ่มน้ำจุ่มสีหรือล้างพู่กันบ่อยๆ อันที่จริงเรื่องนี้มันแล้วแต่คนชอบแล้วแต่ความถนัดเลยครับ ตามความเห็นผมคือในบางสถานการณ์ที่เราไม่สามารถสเก็ตช์โดยใช้พู่กันปรกติได้ เช่นยืนสเก็ตช์ ลมพัดแรงหรือรวมไปถึงพื้นที่ในการวางข้าวของมีจำกัด waterbrush ก็จะสะดวกกว่าแน่นอนครับ แต่ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเอื้ออำนวย มีโต๊ะนั่ง สามารถวางข้าวของวางกระป๋องน้ำได้ ผมก็ไม่ลังเลที่จะเลือกใช้พู่กันแบบปรกตินะครับเพราะมันให้งานที่ดีกว่า จุ่มสีได้มากกว่า ระบายได้เรียบเนียนไม่เห็นฝีแปรงเล็กๆ เหมือนกับของ waterbrush ครับ ดังนั้นก็ต้องเลือกตามสถานการณ์และความถนัดนะครับ ไม่มีอะไรถูกผิดครับ
ทุกวันนี้ไม่ว่าผมจะออกนอกบ้านไปที่ไหนก็ตาม ผมไม่ลืมที่จะพกพู่กัน Escoda Reserva Retractable ด้ามนี้ติดตัวไปด้วยครับ ถึงแม้ว่าในกระเป๋าจะมี waterbrush ที่แสนสะดวกพร้อมระบายสีอยู่แล้วก็ตามแต่เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องการระบายสีที่สมบูรณ์แบบให้ได้ดั่งใจ Escoda Reserva ด้ามนี้แหละครับที่ตอบสนองความต้องการของผมได้ดีที่สุดครับ หากคุณเป็นสเก็ตช์เชอร์สายสีน้ำผมแนะนำให้ลองหาพู่กันอันนี้มาลองใช้ดูนะครับ อาจจะเลือกขนาดที่เราคิดว่าเหมาะสมกับสไตล์การสเก็ตช์ของเรามากที่สุดมาเพียงด้ามเดียวครับ แล้วหลังจากนั้นถ้าต้องการพู่กันขนาดอื่นๆ สำหรับบางกรณีที่พิเศษจริงๆ ก็ค่อยหามาใช้คู่กันอีกด้ามนะครับ ผมรับรองว่าผลงานการลงสีน้ำที่ได้จะต้องสวยงามสมดั่งใจคุณแน่นอนครับ
…
ผมรอเวลาจนถึงกลางดึก พรานแก่กากหลับไปแล้ว ผมค่อยๆ ย่องอย่างเงียบเชียบออกจากกระท่อมพร้อมทั้งทิ้งกระดาษโน้ตเขียนข้อความสั้นๆ ไว้ว่า
“ลาก่อนครับคุณฮั้นท์ กว่าพู่กันในตำนานของคุณจะเสร็จสมบูรณ์… ทั้งหมาทั้งเหี้ยคงเกลี้ยงหมดป่าแน่ๆ ขอตัวไปตามสมาคมพิทักษ์สัตว์มากำจัดคุณก่อนนะ ข้อหาเป็นภัยคุกคามต่อตัวเหี้ยและผองเพื่อน บาย”