พี่ขาาาาา น้องอยากยืดหยุ่น! คือน้องอยากได้ปากกาที่มันยวบๆ งอๆ วืดๆๆๆ อ่ะค่ะพี่ ไอที่มันเป็นปากกาที่เขียนแล้วหัวมันแตกออกจากกันหน่ะ พี่มีขายมั้ยคร๊ะ??? เดี๋ยวก่อนจ่ะน้อง! ไอที่น้องกำลังพูดถึงอยู่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นปากกาที่หลายๆ คนอยากจะลิ้มอยากจะลองกันสักครั้ง ซึ่งในบ้านเราก็หาซื้อกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะเพราะมันเป็นปากกาที่ค่อนข้างเฉพาะทางกันสักหน่อย หากอยากโดนจริงๆ ก็ต้องใช้วิธีสั่งจากนอกประเทศมาเป็นเจ้าของกันแล้วก็ค่าส่งแพ้งแพง โอ้ยยย พี่ก็อยากเห็นน้องยืดหยุ่นๆ กลุ้มใจจริงจริ๊งงงงงง!
ที่ผมพูดถึงนี่ก็คือปากกาที่เรียกว่า flex pen หน่ะครับ หลายคนคงจะเคยได้อ่านรีวิวปากกา flex pen ราคาย่อมเยาแต่ค่าส่งแพงสลัดผักออร์แกนิคกันมาแล้วอย่าง ปากกา Noodler’s Ahab Flex Pen ซึ่งในคราวก่อนนั้นก็ทำให้รู้ถึงคอนเซ็ปของปากกาประเภท flex pen กันไปไม่มากก็น้อย แต่มันก็ยังสั่งแล้วไม่คุ้มค่าส่งอยู่ดีอ่ะนะ เมื่อไหร่น้าที่บ้านเราจะมีปากกา flex pen ขายให้ซื้อง่ายๆ กับเค้าสักที ซึ่งวันนี้เทพเจ้าแห่งการเสียเงินได้มายืนอยู่หลังพวกเราแล้วล่ะครับ! ฮูเร่!!
…เรื่องเสียเงินนี่ต้องดีใจป่ะวะ?
Fountain Pen Revolution Indus & Jaiper Flex Pen [ขอเชิญเข้าไปส่อง] คือปากกาหมึกซึม 2 รุ่น 2 สไตล์แต่หัวใจ flex ทั้งคู่เลยครับ ฟังชื่อแล้วบางคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วตามเว็บบอร์ดปากกาหมึกซึมของเมืองนอกว่าเป็นปากกาหมึกซึมน้องใหม่ที่จัดว่าเป็นกลุ่มปากการาคาไม่สูงเกินไป(ในสายตาของคนอเมริกันอ่ะมั้ง) อีกทั้งก็ยังมีให้เลือกหลายรุ่นหลากหลาย nib และที่สำคัญคือมี flex nib ให้เล่นอีกด้วย!!
แต่ก่อนจะไปดูปากกา ผมอยากโม้เรื่องของ บริษัท Fountain Pen Revolution (เรียกย่อๆ ว่า F.P.R.) หน่อยหน่ะครับ คือว่าเรื่องของเรื่องนั้นก็คือคุณเควินที่เป็นผู้ก่อตั้งนั้น แรกเริ่มเดิมทีแกก็ไม่ได้เป็นสาวกปากกาหมึกซึมอะไรหรอกนะ แต่ว่าครั้งนึงแกได้มีโอกาสได้เดินทางไปทำธุระที่ประเทศอินเดียครับ แกบอกว่าอินเดียนี่มีตัวอักษรลายมือที่สวยมากผิดกับตัวแกเองที่เขียนตัวหนังสือเรียกได้ว่าไก่เขี่ยเลยล่ะ แกเลยมีความตั้งใจที่จะหัดเขียนตัวหนังสือให้มันสวยขึ้น แล้วก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง แล้วก็ไปได้คำแนะนำว่า “นายลองใช้ปากกาหมึกซึมสิเพื่อนรัก” โอ้ยเท่านั้นแหละ แกวิ่งออกนอกบ้านไปร้านปากกาที่ใกล้ที่สุดแล้วก็สอยปากกามาเลย ตั้งแต่นั้นแกก็กลายเป็นสาวกปากกาหมึกซึมไปเลยครับ กร๊าาากก
แล้วยังไงต่อ? จากนั้นแกก็สิงอยู่ในบอร์ดของ fountainpennetwork.com หน่ะ ก็มีคนมากมายประมาณว่า “เห้ย อยู่อินเดียแล้วก็หาปากกาหมึกซึมมาปล่อยหน่อยดิวะ” แกก็ไปเจอปากกายี่ห้อนึงเข้าชื่อว่า Gandhi (ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเก่าแก่) กลายเป็นว่านอกจากจะซื้อมาใช้เองแล้วยังเอาไปขายที่อเมริกาด้วย แล้วมันก็เลยเถิด! จนสุดท้ายก็มาเปิดโรงงานที่ประเทศอินเดียแล้วผลิตปากกาหมึกซึมเป็นของตัวเองเสียเลย เพื่อสร้างปากกาหมึกซึมราคาย่อมเยาในนาม Fountain Pen Revolution ในที่สุด โอ้วโคตรกีค!!
…ถ้าทำปากกาเป็นของตัวเองจะใช้ชื่อว่า B.B. Pen Resurrection …เท่ป่ะ?
F.P.R. Indus Demo
วนเวียนนอกเรื่องไปนานมาก ขอเข้าสู่ปากกากันห้วนๆ เลย ก็อย่างที่บอกครับว่าปากกาที่นำมาให้ชมในวันนี้มี 2 รุ่น รุ่นแรกเลยคือ Indus Demo รุ่นนี้มีจุดเด่นก็คือขนาดรูปร่างของปากกาที่ค่อนข้างเรียวเล็กสวยงาม และด้วยเพราะเป็นรุ่น Demo (Demonstrator) จึงทำให้ตัวด้ามนั้นใสแจ๋วในแทบทุกส่วน ตัวด้ามก็ใสทำให้เห็นสีหมึกที่ใช้ได้อย่างชัดเจน และในส่วนที่เป็นสีรองอย่างเช่นด้ามนี้ที่เป็นสีน้ำเงินก็ยังเป็นสีน้ำเงินใสด้วยทำให้สามารถเห็นเกลียวและกลไกของที่สูบหมึกได้นั่นเอง
รุ่น Indus นี่ออกแบบให้หนักไปทางหรูหราทองอร่าม ดังนั้นจึงจะเห็นว่าจะมีการแซมสีทองในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงแหวนที่ก้นปากกา วงแหวนตรงปลายปลอกปากกา หรือจะเป็นคลิปเหน็บกระเป๋าเสื้อก็เป็นสีทองด้วย เมื่อเปิดปลอกปากกาออกดูก็จะเห็น nib ที่มีส่วนของสีทองด้วยเช่นกัน มันจึงทำให้รุ่น Indus ที่ใช้สีทองแลดูเข้ากันกับสีของ nib ลงตัวดีทีเดียว
F.P.R. Jaiper Demo
รุ่น Jaiper Demo นี้ก็ยังคงความเป็นปากกาด้ามใส Demonstrator ไว้เหมือนเดิมครับ สามารถมองเห็นกลไกและหมึกปากกาภายในได้ แต่ว่าในส่วนที่เป็นสีรองนั้นจะเปลี่ยนมาใช้เป็นสีทึบไปเลยแทนที่จะให้ใสเหมือนรุ่น Indus อีกทั้งส่วนที่เป็นคลิปเหน็บกระเป๋าและวงแวนตรงปลอกปากกาก็เปลี่ยนมาใช้สีเงิน ทำให้ภาพรวมของปากกาแลดูทันสมัยและดูอายุลดน้อยลงด้วย (อายุปากกานะไม่เกี่ยวกับคนใช้)
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือตัวด้ามที่ดูแน่นหนาดุดันขึ้นมาอีกหน่อยครับ ทำให้เวลาจับถือแล้วรู้สึกว่ามันแข็งแรงไม่น่าจะพังได้ง่ายๆ นั่นก็เพราะด้วยตัวด้ามที่มีความอ้วนขึ้นรวมไปถึงในส่วนของปลอกปากกาที่ใหญ่และหนาขึ้น ก้นปากกาที่เป็นส่วนของตัวสูบหมึกก็ยังแน่นขึ้นด้วย กลายเป็นภาพรวมของปากกาด้ามนี้ดูแข็งแรงไม่บอบบางเลย
Build Quality
อันนี้เป็นเรื่องที่ผมต้องติเต็มๆ เลยอ่ะนะ จริงอยู่ว่าเค้าตั้งใจให้เป็นปากกาหมึกซึมที่ราคาไม่สูงสามารถจับต้องมาเป็นเจ้าของได้ง่าย แต่ว่าในรายละเอียดหลายๆ ส่วนผมค่อนข้างขัดตาไปสักหน่อย สิ่งแรกเลยก็คือเรื่องของการหล่อแบบที่จะเห็นว่าเส้นต่างๆ มันไม่คมไม่เนียบ ตัวรุ่น Indus Demo นี่ยังพอสวยกลืนๆ กับด้ามไป แต่ตัว Jaiper Demo นี่ในส่วนกลางด้ามมันจะเห็นชัดเลยครับว่าหล่อแบบมาเป็นรอยไม่เนียบยิ่งตอนที่เอามือลูบดูก็จะเห็นถึงความสากได้อย่างชัดเจน
กลิ่นเหม็น
สิ่งนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พอผมหยิบปากกา Fountain Pen Revolution ขึ้นมาแล้วรู้สึกได้ทันทีนั่นก็คือเรื่องของ “กลิ่น” ผมเป็นคนที่จมูกไวและเวียนหัวกับพวกกลิ่นแปลกๆ ได้ง่ายมากครับ ดังนั้นปากกาด้ามนี้จึงค่อนข้างจะมีปัญหากับผมเสียหน่อย
อ้างอิงจากรีวิวปากกา Noodler’s Ahab Flex Pen ตอนก่อนนู้นนนนน ผมก็ติงปากกาด้ามนั้นเหมือนกันครับเรื่องที่มันใช้วัสดุเป็นเรซิ่นแข็งมาทำตัวด้ามปากกา ซึ่งเป็นวัสดุที่ทำการลดเกรดลงมาเพื่อให้มีต้นทุนที่ต่ำลง ผมไม่มั่นใจหรอกนะครับว่าทำไมพอใช้วัสดุแบบนี้แล้วจึงทำให้กลิ่นเหม็นของสารเคมีถึงเด่นชัดขนาดนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นวัสดุเดียวกันกับที่ใช้ในการทำตัวด้ามของปากกา Fountain Pen Revolution กลิ่นเหม็นมันค่อนข้างฉุนทีเดียวนะสำหรับผม เรียกได้ว่าหยิบมาเขียนกลิ่นก็ยังติดมือเลยครับ ผมลองเอาสบู่ล้างมือมาถูตัวด้ามหวังจะช่วยได้บ้างแต่ก็ลดกลิ่นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นใครที่กังวลเรื่องกลิ่นอาจจะไม่เหมาะที่เหน็บเจ้าปากกาด้ามนี้ไว้บนกระเป๋าเสื้อนะ กลิ่นโชยเข้าจมูกตลอดเวลาระวังเวียนหัวไม่รู้ด้วยนะ
Piston Fill
เห็นหน้าตาของปากกาทั้งสองรุ่นคงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าตรงส่วนก้นและตรงตัวด้ามมันมีก้านอะไรไม่รู้ดูคุ้นๆ ใช่แล้วครับปากกา Fountain Pen Revolution ทั้งรุ่น Indus และ Jaiper นั้นใช้ระบบ Piston Fill เวลาเติมหมึกก็สามารถเอาหัวปากกาจุ่มลงไปในขวดแล้วหมุนก้นปากกาเพื่อสูบขึ้นมาได้เลยนะ และเพราะมันเป็นรุ่น Demo นี่แหละเลยทำให้สามารถมองเห็นหมึกที่เติมอยู่ข้างในได้ด้วย ชอบตรงนี้
ขนาด น้ำหนัก
ผมลองเอาปากกาทั้งสองรุ่นมาเทียบกันดูครับก็จะทำให้รู้ว่า Fountain Pen Revolution รุ่น Indus นั้นจะมีขนาดที่เล็กและผอมกว่ารุ่น Jaiper อย่างรู้สึกได้ เมื่อเทียบความยาวกันดูก็สั้นกว่ารุ่น Jaiper เล็กน้อยนะทั้งตอนที่ถอดปลอกหรือใส่ปลอกปิดก็ตาม
ส่วนเรื่องน้ำหนักนั้นก็ถือว่าเป็นปากกาที่มีน้ำหนักค่อยข้างเบาครับ และทั้งสองรุ่นก็มีน้ำหนักไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยยะแบบโอ้วโหวหนักเว้ย! น้ำหนักทั้งตอนที่ปิดฝาหรือถอดฝาออกก็ต่างกันราวๆ 1 ขีดกว่าๆ เท่านั้นเอง (ตัว Indus ผมใส่หมึกด้วยอ่ะ นับมั้ย?)
Nib
มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้ต้องทดสอบอย่างหนักนั่นก็คือเรื่องของ flex nib ของปากกา Fountain Pen Revolution ทั้งสองรุ่นนี้ เนื่องด้วยปากกาทั้งคู่ต่างก็ใช้ nib รุ่นเดียวกันครับจึงขอทดสอบรวบกันไปเลยนะ แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกให้เข้าใจก่อนว่า จริงๆ แล้วปากกา Fountain Pen Revolution ในเมืองนอกนั้นไม่ได้ซื้อออกมาจากร้านแล้วจะเป็น flex nib เลยนะ เค้าก็มี nib หลายขนาดตามสากลประเทศปากกานั่นแหละครับ แต่การที่จะให้ได้ flex nib มานั้นเราต้องทำการเลือกเปลี่ยน nib เอาเอง แต่กับร้านของคุณเอ็ม The PIPS Café นั้นทุกรุ่นจะเป็น flex มาให้เลยครับ
จะรอช้าทำไม? เขียนสิครับเขียน! ผมเติมหมึกแล้วลองลากเส้นเปรียบเทียบที่น้ำหนักมือต่างๆ กันครับ ก็จะทำให้เห็นว่า เส้นที่ได้นั้นแตกต่างกันมากทีเดียวนะ สามารถให้เส้นที่บางที่สุดได้ประมาณ 0.3 – 0.4 มิลลิเมตรครับ ส่วนที่เส้นที่ใหญ่ที่สุดนั้นวัดแล้วก็ประมาณ 2 มิลลิเมตรได้ครับก่อนที่เส้นจะขาดออกจากกัน
ซึ่งตรงจุดนี้จากที่เห็นนี่ต้องบอกว่า “ปากกาด้ามนี้ไม่ได้ flex ง่ายๆ เหมือนอย่างที่คิดนะ” ที่พูดแบบนี้ก็เพราะว่ามันเป็น flex pen ก็จริงครับ ด้วยวัสดุที่ใช้ทำ nib มันเป็นเหล็กปรกตินี่แหละ แต่ด้วยเพราะการออกแบบ nib ให้มีรอยผ่าที่ยาวมากและแผ่นโลหะที่ใช้ก็ทำให้บาง จึงทำให้สามารถ flex ได้นั่นเอง ซึ่งจะต่างจาก flex pen รุ่น vintage หรืออื่นๆ ที่ใช้พวกทอง 14k มาทำ flex nib นะ ความยืดหยุ่นเลยจะค่อนข้างต่างกันครับ และสำหรับคนที่เคยใช้พวก G-Pen เขียนอักษรมาก่อนต้องเข้าใจว่าความ flex มันแตกต่างกันแน่นอนครับ ซึ่งถ้าลองใช้ไปสักพักให้ชินมือและควบคุมน้ำหนักแรงกดได้แล้ว ก็จะสามารถเขียนเส้นให้มี line variation (ความหนักเบาของเส้น) ได้ดั่งใจนั่นเอง
ลองเขียน
ผมลองเขียนตัวหนังสือเป็นคำต่างๆ แล้วก็ได้อย่างที่เห็นกันนี่แหละครับ อย่างที่ได้บอกไปว่าจะต้องฝึกให้ชินมือเสียหน่อยนะจึงจะรู้ว่าควรลงน้ำหนักมือหนัก-เบาเพียงใด เพราะอย่างที่บอกว่าต้องออกแรงกดพอสมควรเพื่อให้ได้เส้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นครับ ส่วนในเส้นที่เล็กๆ นั้นก็ต้องอย่าชินมือติดลงน้ำหนักเยอะนะ ยกขึ้นมาลากเบาๆ ก็พอ ก็จะทำให้สามารถเขียนอักษรประดิษฐ์ด้วยปากกาด้ามนี่ได้อย่างงดงามแล้วล่ะ (ในตัวอย่างนี้คือพัง กร๊าาากก)
แล้วถ้าเขียนแบบธรรมดาล่ะเป็นยังไง? โอเคเลยครับคำถามนี้น่าสนใจ มีปากกาหลายด้ามนะที่เป็น flex pen แต่ nib มันนุ่มเกินไปจนเขียนธรรมดาในชีวิตประจำวันไม่สะดวกเลย ซึ่งปากกาด้ามนี้เพราะ flex nib มันไม่ได้อ่อนนุ่มขนาดที่เขียนแล้วยวบสะบัดๆๆ ตลอดเวลา ดังนั้นจึงทำให้สามารถเขียนทั่วไปในชีวิตประจำวันได้ไม่มีปัญหาครับ
…แอร๊ยยยยยย มีคลิปหลุดด้วยยยยยย
Ink Flow
โอ้โหหมึกไหลดีงามมาก! การจะเป็น flex pen ที่ดีสักด้ามนอกจากจะมี nib ที่สามารถแยกยืดตามน้ำหนักมือได้แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างเลยก็คือการไหลของหมึกครับ เพราะว่าการเขียนแบบ flex นั้นมันจะมีเส้นเล็กเส้นใหญ่ที่ใช้ปริมาณหมึกที่ต่างกัน ไอเส้นใหญ่นี่สูบหมึกเปลืองหนักเลย ดังนั้นถ้าปากกาปล่อยหมึกได้ดีก็จะทำให้เขียนได้ลื่นไหลเส้นไม่ขาดตอนครับ ซึ่งปากกา Fountain Pen Revolution ทั้งสองรุ่นเลยก็ส่งหมึกไหลได้ดีจริงๆ จนบางครั้งผมมองว่า เห้ย! แกหมึกไหลท่วมไปหรือเปล่าวะ? กร๊าากก คือมันก็มีบางครั้งที่ผมเขียนๆ ไปแล้วรู้สึกว่าหมึกมันไหลออกมามากกว่าปรกติทำให้ตัวหนังสือค่อนข้างชุ่มหมึกหน่อยนะ ดังนั้นในบางจังหวะหรือบางตัวอักษรที่ต้องเน้น แนะนำว่าเขียนแล้วก็รอให้แห้งสนิทเสียก่อน อย่าพลาดเอามือไปโดนเข้าล่ะครับ
ราคา
อ่านมาถึงตรงนี้เราจะได้รู้กันเสียทีครับว่าปากกา Fountain Pen Revolution ทั้ง Indus และ Jaiper นั้นมีราคา 800 บาท! ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ก็มีราคาเท่ากันเลยจร้าาาา ตรงจุดนี้ผมมองว่าเป็นราคาที่กลางๆ ไม่ค่อยสูงมากเท่าไหร่นะ เพราะอะไร? เพราะว่าจริงๆ แล้วปากกาด้ามนี้ในเมืองนอกเค้าขายอยู่ที่ 17$ ครับ และถ้าอยากได้ flex nib เข้าไปด้วยก็ต้องบวกอีก 3$ รวมแล้ว 20$ แปลงเป็นเงินไทยก็ 700 บาทอ่ะ และราคานี้ยังไม่รวมค่าส่งมาไทยด้วย! ดังนั้นที่ร้าน The PIPS Café ขายด้ามละ 800 ถือว่าทำราคาได้ดี ไม่ได้แพงกว่าเมืองนอกเมืองนาเลยครับ
ซื้อที่ไหน
แหม่! จะไปซื้อที่ไหนล่ะครับถ้าไม่ใช่ร้านขายปากกาหมึกซึมและหมึกปากกาหลากสีให้เลือกเยอะแยะมากมายอย่างร้านของคุณเอ็ม The PIPS Café ก็สามารถกดเลือกซื้อกันได้เลยนะมีหลายสีให้เลือกด้วยจ้า : ขอเชิญตามลายแทง
ปล. แนะนำให้เลือกหมึกสวยๆ มาด้วยสักสีนะ เพราะเดี๋ยวเขียนไปสักพักจะอยากลองหมึกสีสวยๆ เพื่อดู shading และ sheen กันล่ะ เพราะยิ่งเขียนด้วย flex pen แล้วจะทำให้เห็นหมึกชัดขึ้น ไงล่ะ! เสียเงินคอมโบ้! กร๊ากกกๆๆ
ความเห็นจากบีบีบล็อก
ถ้ามองในมุมที่ว่า คุณจะหาปากกาประเภท flex pen ราคาถูกๆ ได้จากที่ไหน เพราะมองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มีราคาหลายพันกันทั้งนั้น ส่วนไอปากกา Noodler’s Ahab ที่ผมเคยรีวิวไปนั้นถ้าสั่งมาไทยเสร็จสรรพก็แพงเอาเรื่องทีเดียว ดังนั้นปากกา Fountain Pen Revolution จึงถือเป็นปากกา flex pen ที่มีราคาไม่แพงจนเกินเอื้อม ด้วยเงิน 800 บาท คุณจะไปหา flex pen ราคานี่ได้จากที่ไหนอ่ะ? ดังนั้น Fountain Pen Revolution จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียวและสามารถหามาลองเล่นกันได้ง่ายๆ เพราะสามารถซื้อได้จากในไทยเลย
แต่ถ้ามองในมุมปากกาหมึกซึมทั่วไปแล้ว ผมถือว่าปากกา Fountain Pen Revolution นั้นไม่ได้มีราคาถูกเลยนะและจัดว่ามีราคาสูงเกินสภาพร่างไปเสียด้วย ขัดกับที่คุณเควินแกบอกว่าเป็นปากกาที่ “reasonably priced quality fountain pens” ทั้งนี้สิ่งที่ผมมองหลักๆ เลยคือมาตรฐานในการผลิตและวัสดุที่ใช้ อย่างที่เขียนไปตอนต้นหน่ะครับว่ามันยังมีจุดให้ติที่เห็นได้เด่นชัดบ้างก็ตามข้อต่อและรอยหล่อต่างๆ และอีกจุดคือกลิ่นของวัสดุที่เอามาเป็นตัวด้ามปากกาที่ค่อนข้างฉุน จริงๆ แล้วผมว่าถ้าเปลี่ยนเรซิ่นนี้ไปเป็นพลาสติก ABS อย่างที่ใช้ในปากกายี่ห้ออื่นๆ น่าจะเข้าท่าขึ้นนะ ดังนั้นถ้าหากคุณกำลังมองหาปากกาหมึกซึม “สำหรับใช้งานทั่วไป” ผมแนะนำว่าอาจจะเพิ่มเงินอีกไม่กี่ร้อยแล้วขยับไปเล่น ปากกา TWSBI ซึ่งเป็นปากกาชั้นดีได้เลย หรือถ้าไม่อยากให้เกินงบก็มองยี่ห้ออื่นอย่าง Kaweco หรือ Lamy แทนก็ได้
ผมหมดกระดาษสมุดไปหลายหน้า เปลี่ยนหมึกปากกาไปตั้งสามรอบ เพราะว่าอะไรนะเหรอ? เพราะว่ามันเขียนได้สนุกน่ะสิ! ปากกา Fountain Pen Revolution ด้ามนี้มีความ flex ที่เขียนตัวอักษรประดิษฐ์ซึ่งถ้าชินมือแล้วจะเขียนได้สนุกทีเดียว เหมาะมากกับคนที่อยากจะลองปากกา flex pen ด้ามแรกในชีวิต ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ flex ง่ายๆ เหมือนกับปากกา flex ด้ามอื่นๆ ที่ราคาหลายพันบาท แต่ด้วยราคาที่ 800 บาทก็ถือว่ามันทำหน้าที่ได้ดีงามเกินค่าตัวเลยล่ะ อาจจะต้องตัดคะแนนบ้างที่งานไม่เนียบและมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา แต่โดยรวมแล้วผมถือว่าเป็นปากกาหมึกซึม flex pen ที่เขียนสนุกและสมควรที่จะหามาลองเล่นกันสักด้ามนะ รับรองว่าเขียนเพลินจนเลยเวลานอนไปเลยล่ะ
ขอขอบพระคุณ
คุณเอ็มแห่งร้าน The PIPS Café ที่สนับสนุนปากกา Fountain Pen Revolution Indus และ Jaiper มาให้ได้ทดสอบด้วยครับ ผมเขียนเล่นเพลินไปหลายหน้ามากๆ เลย ขอบพระคุณครับ!!